โลกในวินัยของพระอริยะ ๑


    ผู้ฟัง ขอเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ก่อน คำว่า “เกิดดับ” หมายถึงอะไร

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมมีเหตุปัจจัย เกิดขึ้นแล้วก็ดับ

    ผู้ฟัง ทำไมจึงว่า โลกนี้เกิดดับ

    ท่านอาจารย์ รู้สึกคนฟังใหม่ๆ อาจจะลำบาก เพราะคิดว่าโลกนี้กลมใหญ่ กว้างมาก แต่ความจริงแล้ว โลกในพระวินัยของพระอริยะ เป็นเพียงหนึ่งขณะจิตซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจิตก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นนามธรรม และรูปธรรมเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามซึ่งเกิดดับ สิ่งนั้นเป็นโลก

    ผู้ฟัง ทีนี้คำว่าเกิดดับ ถ้าหากว่าเราไม่เข้าใจปรมัตถธรรม มันก็เหมือนว่าเกิดขึ้นแล้วก็หายตัวไป เหมือนกับว่าเราเปิดไฟ ปิดไฟ เกิดดับ เหมือนไหมคะ โลกนี้เกิดดับ เหมือนเราเปิดไฟปิดไฟ เหมือนไหมคะ อาจารย์

    ท่านอาจารย์ ไม่เหมือน

    ผู้ฟัง เป็นอย่างไรคะ

    ท่านอาจารย์ อย่างแข็งจะเหมือนไฟ ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ แข็งมี ทุกคนกำลังปรากฏ ถ้าเป็นปัญญาที่สมบูรณ์จริงๆ สามารถที่จะประจักษ์ว่า แข็ง ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ดับเลยนั้น แท้จริงกำลังเกิดดับอยู่ตลอดเวลา

    ผู้ฟัง อาจารย์ช่วยกรุณาอธิบายอีกครั้งหนึ่ง เกิดดับ สมมติว่าเราโดยนัยของทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งที่ปรากฏทางตา เหตุใดจึงว่าสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเกิดดับ

    ท่านอาจารย์ เวลาพูดถึงโลก ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการสัมผัส ไม่มีการคิดนึก จะมีโลกได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่เห็น เอาเดี๋ยวนี้ก็ได้ เฉพาะกำลังเห็น ซึ่งทุกคนกำลังเห็น แล้วอีกอย่างก็คือว่า เราได้พูดถึงธรรมมานานแสนนานโดยนัยต่างๆ ทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจธรรม ไม่ใช่ให้จำว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ว่าขณะนี้กำลังเห็น ถ้าเราได้ศึกษามามากพอ เราก็จะต้องสามารถมีความเข้าใจในลักษณะของสภาพที่กำลังเห็นในขณะนี้ ในลักษณะที่เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ขณะที่เรากำลังเห็น มีได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีนะคะ ขณะที่กำลังได้ยิน มีเห็นไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี นี่ก็แสดงให้เห็น ขณะนี้เราจะลืมทุกอย่างที่เราเคยจำไว้ แล้วก็มาพิจารณาให้เข้าใจธรรม การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม หมายความว่า เราเริ่มที่จะเข้าใจตัวธรรมจริงๆ ในขณะนี้ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น เราจะยกเรื่องของทางตาก่อน ซึ่งขณะนี้กำลังเห็น ที่จะเข้าใจว่า เป็นธรรม แล้วก็ที่กำลังเกิดดับ ถ้าไม่พูดถึงขณะปัจจุบัน จะเหมือนอยู่ในตำรา หรือว่าอยู่ในหนังสือ ไม่มีทางที่จะเข้าใจกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ได้ นอกจากเวลานี้ เรากำลังจะเข้าใจธรรม ทั้งหมดที่เรียนมาเพื่อเข้าใจธรรมที่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ทุกคนพิจารณาตามเพื่อที่จะได้เห็นธรรม หรือว่าเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงว่า ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่มีได้ยิน มีวัดบวรนิเวศไหมคะ ขณะที่กำลังเห็น มีไหมคะ ไม่มี มีตึกสภาการศึกษามหามกุฏไหมคะ ไม่มี มีห้องนี้ไหมคะ ไม่มี

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้จริงๆ ว่า ถ้าปัญญาสามารถที่จะเริ่มเข้าใจลักษณะจริงๆ ของธรรมที่กำลังปรากฏ โดยรู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ยังไม่มีความคิดนึกเรื่องวัดบวร ยังไม่มีความคิดนึกเรื่องตึกสภาการศึกษามหามกุฏ ยังไม่มีการคิดนึกเรื่องคน เรื่องสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แล้วก็มีสภาพที่กำลังเห็น เป็นสภาพรู้ ที่เรากล่าวถึงเรื่องจิตเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ ไม่พ้นจากขณะนี้เองที่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม ซึ่งทุกคนก็สนใจที่จะปฏิบัติ ให้ทราบว่า ถ้าขณะใดยังไม่มีการที่จะเข้าใจสภาพที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริงจากการฟัง แล้วก็พิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งค่อยๆ รู้ในขณะที่กำลังเห็น ถ้าไม่เป็นการอบรมเจริญปัญญาอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะรู้ว่า นี่คือธรรมที่เรากล่าวถึง ที่เราพูดถึงทุกวันว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และกำลังเกิดดับ

    เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงกำลังเกิดดับของกำลังเห็นในขณะนี้ จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เพียงรู้เรื่องว่า จิตมีกี่ดวง มีเจตสิกประกอบเท่าไร แล้วก็จิตเห็นมีเจตสิกประกอบเพียง ๗ ดวงเท่านั้น นั่นเป็นเรื่องราวของจิตเห็น แต่ว่าปัญญาจริงๆ ต้องสามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่เราเรียนมาเรื่องจิตเห็น ประกอบด้วยเจตสิก ๗ ดวง ก็เพื่อให้เราคลายการที่จะยึดถือว่า เห็นเป็นเรา เพราะว่าเห็นชั่วขณะเดียว ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีวัดบวร ไม่มีโลกใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา

    เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะเข้าใจเรื่องโลกเกิดดับ หรือทุกอย่างเกิดดับ เราก็ต้องแยกโลกใหญ่ๆ ที่รวมกันออกเป็นแต่ละทางจริงๆ แล้วก็มีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วมีการละคลายความยึดถือสิ่งที่กำลังปรากฏ และสภาพที่กำลังเห็น จนกระทั่งมีความชำนาญที่จะรู้แล้วชินกับลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ก็จะเห็นว่า แต่ละขณะเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพธรรมที่ปรากฏนานอย่างที่เราคิด แต่ว่าเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งซึ่งปรากฏแล้วก็หมดไป นี่คือสัจธรรม เพราะฉะนั้นโลกเกิดดับ ไม่ใช่โลกทั้งหมด ก้อนใหญ่ๆ แต่จะต้องมาแยกเป็นขณะหนึ่งๆ

    ผู้ฟัง อาจารย์ก็หมายความว่าเป็นโลกที่เกิดทางตา ทางหู ทางจมูก

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ทีละทาง เพราะฉะนั้นถ้าย้ายไปทางหู ก็เหมือนกัน

    ผู้ฟัง เป็นโลก หูได้ยินโลก ตาเห็นโลก โลกของทางตา โลกของทางหู

    ท่านอาจารย์ โลกสี โลกเสียง โลกกลิ่น โลกรส เพราะว่าโลกต้องประกอบด้วยสิ่งต่างๆ เหล่านี้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ที่บอกว่า โลกกลม โลกแบน ก็ลบออกไปได้เลย ถ้านั่งอยู่ในขณะนี้ คือ โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกาย และโลกทางใจ


    หมายเลข 9259
    14 ส.ค. 2567