โลกในวินัยของพระอริยะ ๒
ผู้ฟัง เรียนเชิญท่านอาจารย์สมพร โลกเกิดดับนะคะ
อ.สมพร เราก็ต้องเข้าใจอย่างนี้ คำว่า โลกเกิดดับ โลกในวินัยของพระอริยะอย่างหนึ่ง โลกโดยนัยของปุถุชน คือ บัญญัติอีกอย่างหนึ่ง โลกอย่างนั้นเราไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้ เรากล่าวถึงโลกในพระวินัยของพระอริยะ เพราะเป็นการเจริญสติปัฏฐาน โลกอันนี้คืออะไร หมายความว่าสิ่งใดที่มีการแตกสลายไป สิ่งนั้นเรียกว่าโลก พระบาลีว่า วิชชตี ติ โลโก ธรรมชาติใดย่อมแตกสลาย เพราะเหตุนั้นธรรมชาตินั้นชื่อว่า โล-กะ คือ โลก โลกนี้ ไม่ใช่โรค ไม่ใช่โรคภัย คนละอย่าง ถ้าโรคภัย อันนั้นหมายความว่า ธรรมชาติที่เบียดเบียน โลกในที่นี้ต้องแตกดับ เมื่อสีเป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณแล้ว ก็ตั้งอยู่ ขณะจักขุวิญญาณเห็น เห็นขณะเดียว แล้วก็สีตั้งแต่มาเป็นอารมณ์กระทบจักขุปสาท ทำให้จิตไหวไป คือ อตีตภวังค์ก็ไหวเรื่อยไปจนถึงตทาลัมพนะ แล้วสีอันนั้นก็ดับไป ตั้งอยู่ทั้งหมด ๑๗ ขณะของจิต ท่านจึงกล่าวว่า โลกในวินัยของพระอริยะมีการแตกดับ เพราะว่าไม่ได้ตั้งอยู่นาน ๑๗ ขณะของจิต ประเดี๋ยวเดียว ทางตาสั้นมากที่สุด แต่ว่าเราศึกษา รู้สึกว่า เหมือนมันยาวนาน แต่ไม่ใช่ยาวนานอย่างที่เราคิด เราเห็น เราได้ยิน คล้ายๆ เหมือนพร้อมกัน จิตมันแล่นเร็วอย่างนี้ คือว่าเดี๋ยวเดียวเท่านั้น
ผู้ฟัง หมายความว่าโลกคือทุกสิ่งที่เกิดดับ เกิดดับก็หมายความว่าโลกที่เกิดทางตา จะดับไปเมื่อโลกที่เกิดทางหูเกิด เพราะมันเป็นโลกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทางตากับทางหูจะเกิดพร้อมกันไม่ได้ ต้องดับเสียก่อน อีกทางถึงจะเกิด อันนี้ก็คือโลกที่เกิดดับ ใช่หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ต้องแยกเป็นโลก ๒ ประเภท คือ นามกับรูป เพราะเหตุว่าถ้าเป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ แต่ถ้าเป็นรูปธรรม ไม่ว่าเป็นรูปที่ตัว หรือรูปที่นอกตัวออกไป อย่างไรก็ตามที่เป็นรูป ไม่ใช่สภาพรู้เลย เพราะฉะนั้น ก็มีลักษณะของสภาพธรรมต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือ นามธรรมกับรูปธรรม ถ้ามีแต่เฉพาะรูปอย่างเดียว ไม่มีนามธรรมเลย จะไม่เดือดร้อนเลย ไฟจะไหม้ น้ำจะท่วมที่ไหน ก็ไม่มีสภาพรู้ ที่จะไปเห็น ไปได้ยิน หรือไปเป็นทุกข์เดือดร้อน แต่ที่ทุกคนเป็นสัตวโลก มีชีวิต ก็เพราะเหตุว่ามีสภาพซึ่งเป็นนามธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้
เพราะฉะนั้น ก็ต้องแยกว่า นามธรรมเกิดดับ รูปธรรมเกิดดับ แต่นามธรรมเกิดดับเร็วกว่ารูปธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงการเกิดดับก็ยังต้องแยกว่า อะไรเกิด อะไรดับ ถ้าเป็นนามธรรมก็เกิดดับเร็วกว่ารูปธรรม แต่รูปธรรมก็เกิดดับด้วย
ผู้ฟัง ทีนี้ถ้าพูดถึงเรื่องรูปธรรมก่อน เป็นรูปารมณ์ เห็นรูป แต่ในขณะซึ่งเห็น นั่นก็คือเห็น คือโลกที่เกิดทางตา
ท่านอาจารย์ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะนี้แน่นอน
ผู้ฟัง เป็นรูปเท่านั้นเอง รูปก็เป็นองค์ประกอบอันหนึ่งของโลก เมื่อรูปนั้นดับไปแล้ว ได้ยินเสียงเกิดต่อ
ท่านอาจารย์ รูปเกิดดับ เพราะฉะนั้น รูปก็เป็นโลก
ผู้ฟัง พอเสียงเกิดต่อ นั้นคือรูปดับไปแล้ว เสียงเกิด อันนั้นคือการเกิดดับ
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วรูปเกิดตามสมุฏฐาน ไม่ต้องรอให้จิตไปรู้ ขณะนี้เสียงจะเกิดที่ไหนก็ได้ หรือว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะต้องมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา แล้วเวลาที่เสียงมี ขณะนั้นก็ต้องมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา
เพราะฉะนั้น ทุกๆ ขณะมีรูปเกิดตลอด ไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม นอกจากโลกนี้ โลกอื่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ จักรวาลทั้งหมดก็เป็นรูป ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม รูปมีสมุฏฐาน ๔ อย่าง คือ รูปที่เกิดจากอุตุ เกิดตลอด ไม่มีใครบังคับ ไม่ว่าจะเป็นจักรวาลไหน ก็มีรูปซึ่งเกิดเพราะอุตุโดยตลอด นอกจากนั้นก็มีรูปที่เกิดจากกรรม เกิดจากจิต เกิดจากอุตุ เกิดจากอาหาร นี่ต้องเป็นพวกสิ่งที่มีชีวิต ถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิตแล้ว จะไม่มีรูปซึ่งเกิดจากกรรม
เพราะฉะนั้น ต้นไม้ ภูเขาใดๆ ทั้งสิ้น เป็นรูปที่เกิดจากอุตุ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกรรม แล้วก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอาหาร เพราะว่ารูปนั้นไม่ได้บริโภคอาหาร เพราะฉะนั้น ก็มีแต่สมุฏฐานเดียว คือ อุตุ
เพราะฉะนั้น เรื่องรูปก็เป็นเรื่องรูป เป็นรูปโดยเป็นโลกแบบภูมิศาสตร์ ที่เราใช้คำว่าโอกาสโลก คือเป็นจักรวาลต่างๆ แต่ว่านอกจากนั้นยังมีสัตวโลกด้วย ไม่ใช่มีแต่โอกาสโลก แต่สัตว์โลก ถ้าไม่มีนามธรรม ก็จะมีสัตวโลกไม่ได้ ก็มีแต่เพียงรูป ซึ่งเป็นโลก ซึ่งเกิดดับอย่างเดียว