โลกไหนๆก็ไม่พ้นจาก ๖ โลก


    ผู้ฟัง นี่แหละครับ ปัญหาก็อยู่ตรงที่ว่า การที่จะเห็นโลกดับตามความเป็นจริงนั้น นั่นหมายความว่า ต้องเป็นวิปัสสนาญาณแล้ว แต่ว่าผู้ที่ฟังยังไม่ได้เลย เมื่อยังไม่ได้ ก็คิดเพ่งไปที่โลกว่า โลกเกิดดับ ก็เข้าใจว่า ตัวตนเกิดดับ แต่ความจริงสภาวธรรมเท่านั้นที่เกิดดับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คนฟังต้องเข้าใจแล้ว เวลาพูดถึงเรื่องโลก ขอให้เข้าใจความละเอียดในพระธรรม คือ ใครเขาจะพูดเรื่องโลกกี่โลกก็ตาม แต่ว่าพอเราศึกษาธรรมแล้ว เราเข้าใจโลกตามพระธรรมว่า ที่จะพูดถึงเรื่องโลกต่างๆ ต้องมีทางที่รู้โลกแต่ละโลกนั้นๆ เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นโลกนี้ หรือโลกไหนก็จะพ้นจาก ๖ โลกนี้ไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ก็ควรจะแยกเป็นโลกๆ จริงๆ แล้วถึงจะรู้ว่าเกิดดับ เพราะว่าก่อนอื่นพูดเรื่องโลกให้เข้าใจ พอเข้าใจแล้ว ให้เข้าใจว่า แท้จริงโลกเกิดดับ กำลังเกิดดับในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น ปัญญาของเรา ก็คิดดูว่าถึงไหน ฟังธรรมที่จะให้เข้าใจธรรมที่กำลังเห็น แล้วก็กว่าจะประจักษ์ว่า เป็นโลกซึ่งเกิดดับด้วย เพราะฉะนั้น แต่ละคนไม่ใช่รีบร้อนไปทำอย่างอื่น แต่ว่าจะต้องรู้ว่า กำลังเห็นขณะนี้ รู้จริงๆ เข้าใจจริงๆ ในเรื่องธรรมที่เราศึกษามาว่า เป็นธรรม กำลังเห็นขณะนี้เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ให้เข้าใจก่อน แล้วก็ เมื่ออบรมเจริญปัญญาขึ้น ก็จะรู้ความจริงว่า กำลังเกิดดับด้วย มิฉะนั้นแล้วเราก็จะไปหลงทำอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่การอบรมความเข้าใจถูกต้อง

    ผู้ฟัง ครับขอบพระคุณครับ

    ผู้ฟัง อาจารย์คะ สมมติว่า เราบอกว่า โลกปรากฏทางตาต้องดับไป หูจึงจะได้ยินเสียง อันนี้เป็นโลกเกิดดับหรือเปล่า เพื่อจะยันที่คุณเสกสรรพูดเมื่อกี้นี้

    ท่านอาจารย์ อยู่ที่ความเข้าใจ ขณะที่ฟังทุกคนกำลังคิดว่า โลกเกิดดับทางตา กำลังคิด แต่ไม่ใช่ประจักษ์

    ผู้ฟัง โดยสภาวะแล้ว จักขุวิญญาณดับ รูปก็ยังไม่ดับ จะบอกว่าโลก รูปคือขันธ์ หรือว่ารูปอะไรก็แล้วแต่ดับตามตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ อันนี้อย่างที่กล่าวถึงในตอนต้นว่า พอพูดถึงโลก เราต้องแยกว่า โลกคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดดับ มี ๒ อย่างที่ต่างกัน คือ นามธรรมกับรูปธรรม ซึ่งนามธรรมดับเร็วกว่ารูป เพราะฉะนั้น รูปมีอายุเท่ากับจิต ๑๗ ขณะ นี่เราพูดตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า นามธรรมกับรูปธรรม ทั้ง ๒ อย่างเป็นโลกก็จริง แต่นามธรรมดับเร็วกว่ารูปธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่มีโลกก็คือไม่มีตา ไม่มีหู หรือมีเหตุปัจจัยไม่เกิด อย่างที่อาจารย์ว่า ใช่ไหมคะ ถ้าโลกไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราจะสรุป ก็คือว่า ความหมายของโลก โลกคืออะไร โลกคือสิ่งที่เกิดดับ แล้วสิ่งที่เกิดดับคืออะไร เพื่อที่เราจะได้เข้าใจขึ้น ก็มีสภาพธรรม ๒ อย่าง คือนามธรรมกับรูปธรรม ถ้าจำแนกโดยปรมัตถธรรม คือ จิต เจตสิก รูป เป็นโลกที่เกิดดับ แล้วก็นามธรรม คือ จิต เจตสิกก็เกิดดับ แต่รูปธรรมเกิดดับช้ากว่าจิต เจตสิก

    ผู้ฟัง โลกอันนี้สรุปแล้วอยู่ที่นี่ เรียกว่าโลกที่แท้จริงของพระอริยะ ตาเห็นรูป รูปนั้นก็เป็นโลก ไม่ใช่โลกของพระอริยะแน่นอน ที่เราบอกว่า เราต้องเห็นโน่น เห็นนี่ รู้ โน่นรู้นี่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระอริยะต้องการรู้

    ท่านอาจารย์ พระอริยะไม่ใช่ต่างจากคนธรรมดา แต่ว่าอบรมเจริญปัญญาจนรู้จักโลกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ทางตาที่กำลังเห็น ก่อนเป็นพระอริยะ ก็เห็นอย่างนี้ แล้วผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่ใช่รู้อื่นเลย แต่รู้สภาพธรรมซึ่งแต่ก่อนไม่เคยรู้ แล้วก็ไม่เคยประจักษ์ความจริงว่า ไม่ใช่เรา แต่รู้ว่า เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมซึ่งเกิดดับ เพราะฉะนั้น โลกในวินัยของพระอริยะจะเกิน ๖ โลกนี้ไม่ได้


    หมายเลข 9263
    14 ส.ค. 2567