มัจฉริยะเกิดอยู่เรื่อยเลย ทำไงดี


    ผู้ฟัง อาจารย์ทำไงดีคะ มัจฉริยะเกิดอยู่เรื่อยเลย

    ท่านอาจารย์ อยากจะมีกุศลเยอะๆ แน่ๆ เลยใช่ไหมคะ ถามอย่างนี้ ไม่มีใครที่อยากจะมีอกุศล แต่ก็ต้องทราบตามความเป็นจริงว่า ต้องเป็นผู้ที่อบรม ต้องมีขันติ มีความอดทน แล้วก็มีความเพียร มีความตั้งใจมั่น คือ บารมีทั้ง ๑๐ เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ในการที่เราจะเจริญกุศล แม้แต่เรื่องของเมตตา ก็ไม่ใช่เป็นเพียงแต่เพียงคำ แต่ต้องเป็นสภาพของจิต คือ เรื่องของธรรมต้องเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจจริงๆ อย่าผิวเผิน แล้วก็อย่าคิดว่าเข้าใจแล้ว หรือว่าได้ยินชื่อ แล้วก็เหมือนกับรู้แล้ว ไม่ต้องรู้กว่านั้นอีก แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว เรื่องของการที่จะเข้าใจสภาพธรรมมีมาก แล้วก็ละเอียดขึ้นด้วย จึงจะเป็นประโยชน์จริงๆ เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังมีอวิชชา ที่จะไม่ให้เกิดอกุศล เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่อวิชชาจะน้อยลง หรือว่าอกุศลจะน้อยลง มีทางเดียว คือ อบรมเจริญวิชชาหรือความรู้

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ใฝ่ในการที่จะเข้าใจพระธรรม ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่ว่าฟังแล้วก็พิจารณาให้เข้าใจเหตุผลจริงๆ ขณะนั้นเป็นกุศลแล้ว ไม่ใช่คิดว่า ไม่มีกุศลขณะที่กำลังฟัง มีศรัทธา แล้วก็มีสติ แล้วก็เห็นประโยชน์ แล้วขณะที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นก็เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา เพระเหตุว่ากุศลไม่ใช่แค่ทาน ที่กล่าวว่ามีแต่มัจฉริยะ กุศลอื่นก็มีด้วย เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะพิจารณาว่า สะสมอุปนิสัยอย่างไรมา แล้วก็อุปนิสัยทั้งหลายที่เป็นอุปนิสัยทางฝ่ายอกุศลจะลดลงได้ แต่ไม่ใช่เราเลือก ว่าเราสะสม มัจฉริยะมา แล้ววันนี้เรากลายเป็นคนที่ใจบุญสุนทานมหาศาล แต่ว่าเราอาจจะฝึก สละ สิ่งซึ่งเราคิดว่า เราไม่เคยสละได้แต่ก่อน แต่ว่าถ้าจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่น ทั้งๆ ที่อยู่กับเราก็ไม่ค่อยจะเป็นประโยชน์ อย่างบางคนก็อาจจะมีเสื้อผ้ามากมาย แล้วก็ไม่ค่อยได้ใช้เลย เก็บไว้ในตู้ สักวันลองคิดดูสิคะว่า พรุ่งนี้เราอาจจะตายแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับใคร แล้วค่อยๆ คิดว่า สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง แต่ก็ไม่ใช่กฎ แต่ว่าให้ทราบว่า ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่สิ่งหนึ่งซึ่งจะเกื้อกูลมาก คือ ปัญญา รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า ถ้าเป็นโอกาสที่มีโอกาสจะให้คนเกิดปัญญา เพราะเหตุว่าเรื่องของความยากจน ความทุกข์ ความเดือดร้อน ความพิการต่างๆ ก็จะต้องเป็นผลของกรรม แล้วก็มีมากมายเหลือเกิน คนทุกข์ยากในโลกนี้ ในกรุงเทพ ต่างจังหวัดมีมาก แต่ว่าคนยากจน คนขัดสน ที่มีโอกาสจะได้ฟังธรรมด้วยจิตศรัทธาก็ย่อมจะเป็นประโยชน์แก่เขามาก เพราะเหตุว่าชาตินี้เขาอาจจะเป็นคนขัดสนพิการ ชาติหน้าเขาอาจจะเป็นมหาเศรษฐี เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นอะไรก็ได้ ซึ่งมีทรัพย์สินเงินทอง มากมาย แต่สิ่งหนึ่งไม่ว่าจะเป็นคนมั่งมี หรือคนจน ก็คือว่า เขามีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมไหม ไม่ว่าใครก็ตาม เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นคนยากไร้ที่กรุงเทพ ที่พนมเปญ ที่ประเทศเขมร หรือที่ไหนก็ตาม ถ้าเขาสะสมมาที่จะได้ฟังพระธรรม อันนั้นจะเป็นประโยชน์มาก เพราะเหตุว่าการช่วยทางวัตถุ ถึงแม้ว่าจะช่วยสักเท่าไร ชาติหน้าก็ไม่สามารถจะติดตามไปได้ แต่ว่าถ้าช่วยให้เขาเกิดปัญญา ก็ยังมีโอกาสที่ว่า เขาจะได้เจริญกุศลยิ่งขึ้นต่อไป

    เพราะฉะนั้น ไม่ไปกะเกณฑ์เรื่องอุปนิสัย หรือว่าที่สะสมมาแล้ว แต่ให้ทราบว่าการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ถ้าปราศจากบารมีแล้ว เป็นไปไม่ได้เลย ไม่ใช่มุ่งหน้าที่จะศึกษา หรือไม่ใช่มุ่งหน้าที่จะทำแค่ทาน หรือว่าคิดว่าอยากจะมีกุศลมากๆ โดยที่ไม่มีปัญญา อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์เลย

    เพราะฉะนั้น หนทางจริงๆ ก็คือว่า ให้เข้าใจพระธรรมขึ้น แล้วก็แล้วแต่กรรมใดจะให้ผลขณะใดซึ่งเป็นสิ่งซึ่งใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติต่อไป


    หมายเลข 9271
    21 ส.ค. 2567