น้ำตาไหล
ผู้ฟัง ขอย้อนเรื่องนี้หน่อย คือ อย่างนักมวยที่ต่อยได้เหรียญทองโอลิมปิค เวลาเขาดีใจเขาน้ำตาไหล อันนี้แปลว่า เขามีโทสะหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เขาพอใจ
ท่านอาจารย์ เรื่องของจิตก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพราะว่าหลายคนจะคิดว่า เวลาที่ดีใจแล้วมีน้ำตาไหล หรือว่าบางคนก็อาจจะคิดว่า ได้รับความเมตตากรุณาจากใครจน มีความรู้สึกแบบที่ว่าทำให้น้ำตาไหล จะด้วยประการใดๆ ก็ตาม แต่ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดแล้วระลึกรู้ในขณะนั้น จะรู้สึกว่าไม่ใช่มีแต่เฉพาะความดีใจอย่างเดียว จะต้องมีความรู้สึกอื่น ซึ่งเป็นเหตุที่จะทำให้น้ำตาไหลด้วย อย่างเวลาที่เราหัวเราะมากๆ อันนั้น แน่นอน คือว่า หัวเราะแล้วก็มีน้ำตาออกมาได้ แต่ไม่ใช่ในลักษณะของน้ำตาไหล แบบร้องไห้ จะเห็นได้ว่า นั่นเป็นจิตที่ทำให้รูปชนิดนั้นเกิดขึ้น เวลาที่ดีใจมากๆ แต่ถ้าในบางครั้งที่เรารู้สึกเหมือนกับว่า มีความดีใจด้วย แต่ทำไมปลาบปลื้ม ถ้าเป็นปลาบปลื้มแท้ๆ ก็คงจะไม่ถึงกับน้ำตาจะไหลออกมาอย่างนั้น แต่อาจจะมีความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งเหมือนกับว่าเราไม่เคยจะได้ แล้วเกิดได้ขึ้นมา มีความรู้สึกเหมือนว่า ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเฉพาะความดีใจอย่างเดียว อันนั้นก็อาจจะเป็นเหตุให้น้ำตาไหลได้ บางคนเวลาที่คิดถึงความดีที่คนอื่นทำต่อเขา เขามีน้ำตาไหล เพียงแค่ระลึกถึง แต่ก็มีน้ำตาซึมๆ ออกมาได้ แสดงให้เห็นว่า เขาอาจจะคิดว่า ไม่คิดเลยที่จะมีใครที่จะดีต่อเขาอย่างนั้นก็ได้
อันนี้ก็จะเห็นได้ว่า ในเหตุการณ์อย่างเดียวกันจะมีทั้งปีติ แล้วก็อาจจะมีความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งเป็นเหตุให้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หรือว่าน้ำตาไหล หรือน้ำตาซึมได้ทั้งนั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ เราจะใช้ความรู้ทางปริยัติไปวัดไม่ได้
ผู้ฟัง สรุปแล้วก็ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นโทสะหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ก็ต้องมีลักษณะที่ไม่ใช่ติดข้องซึ่งเป็นโลภะ
ผู้ฟัง ขอบคุณครับ
ท่านอาจารย์ คืออย่างไรๆ ก็อย่าไปพยายามจับใครกำลังรู้สึกอย่างไร เพราะเหตุว่าถ้าไม่รู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมก่อน ไม่มีทางที่จะรู้ความละเอียดเลยว่า ลักษณะของนามชนิดนั้นต่างประเภทกันอย่างไร เพราะว่าเราเพียงแต่คิดหรือวัด เราจะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม เพราะว่าเราเพียงอ่านจากตำรา แต่ว่าเวลาที่สภาพธรรม เกิดขึ้นจริงๆ จะเห็นได้ อย่างบางคนไปนมัสการสังเวชนียสถาน แล้วก็มีน้ำตาไหล ทั้งๆ ที่ทีนั่นไม่ใช่สถานที่ปรินิพพานหรืออะไร เป็นที่ตรัสรู้ แต่ก็สามารถที่จะมีคนที่น้ำตาไหล ที่ถ้ำสุกรขาตา หรือไม่ก็ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ นี่ก็แล้วแต่ว่าขณะนั้น แม้แต่ผู้นั้นเองยังบอกไม่ได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ว่าความรู้สึกขณะนั้นต้องเกิดพร้อมจิตประเภทต่างๆ ไม่ใช่จิตประเภทเดียว แล้วขณะนั้นไม่ใช่ความติดข้อง ซึ่งเป็นโลภะ เป็นกุศล แต่ว่าขณะที่เป็นกุศลก็ไม่ใช่กุศลนั้นจะตั้งเป็นประเภทเดียวกัน อาจจะมีการระลึกถึงเรื่องราวต่างๆ แทรก แล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกซึ่งทำให้มีน้ำตาไหล โดยที่ตัวเองก็ไม่สามารถจะแจกแจงได้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับอย่างรวดเร็ว