สติเกิดเพราะเข้าใจ ไม่ใช่เพราะอยาก
ผู้ฟัง อาจารย์ขอเรียนถามว่า วันนั้นไปเข้ากรรมฐานแล้วก็อาจารย์ให้กรรมฐานแล้วกราบไหว้พระรัตนตรัย ทีนี้นึกถึงคุณพระพุทธเจ้าแล้วน้ำตาไหล ปีติหรือเปล่าคะ
ท่านอาจารย์ นี่ค่ะก็จะมีคำถามว่า ปีติหรือเปล่า คนที่มีน้ำตาไหลเอง จะต้องตอบ แล้วไปเข้ากรรมฐานอย่างไรคะ
ผู้ฟัง อยู่ข้างนอกก็ไปวุ่นกับงานทั้งนั้น มันก็ไม่ได้กำหนด
ท่านอาจารย์ กำหนดอะไรคะ
ผู้ฟัง กำหนดอิริยาบถ ๔ นั่ง นอน ยืน เดิน
ท่านอาจารย์ แล้วปัญญารู้อะไร
ผู้ฟัง ปัญญารู้อิริยาบถ
ท่านอาจารย์ คือ เรื่องของการอบรมเจริญภาวนาเป็นเรื่องของความรู้ เป็นเรื่องของความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ในขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการอบรม คือ ภาวนา เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการฟังเข้าใจ ไม่มีทางเลยที่ปัญญาจะเจริญขึ้น เพราะฉะนั้น ปัญญาต้องเริ่มจากการฟัง แล้วแม้แต่การที่สติจะเกิดแต่ละขณะก็เพื่อรู้ถูก เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง อาจารย์เห็นใจพูดบอกว่า ไม่จำเป็นต้องไปเข้า เพราะว่าชีวิตประจำวันนี้ ก็ปฏิบัติได้ แต่ว่าสติไม่ค่อยเกิด
ท่านอาจารย์ อยากให้สติเกิดจึงไปเข้า ใช่ไหมคะ อยากให้สติเกิดจึงไปเข้า ใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง คล้ายๆ มีอาจารย์บอก ว่าจะไปฝึกปฏิบัติ
ท่านอาจารย์ นั่นสิคะ ไปเพื่ออยากให้สติเกิด ใช่หรือไม่ใช่คะ เพราะฉะนั้น สติจะไม่เกิดเพราะความอยาก แต่เกิดเพราะเข้าใจ มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย เป็นปัจจัยให้สติระลึกถูก
ผู้ฟัง ธรรมก็ยาก
ท่านอาจารย์ ยากมาก เพระเหตุว่าเป็นพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
ผู้ฟัง ยากที่จะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ทรงแสดง ต้องยากค่ะ
ผู้ฟัง แล้วจะขอเรียนถามอีกว่า อย่างกับบางทีเห็นนิโกรดำ เขาทำอะไรมาคะ ทำบุญทำเหตุอะไร ถึงได้ผิวพรรณเป็นอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ ก็เรื่องของกรรมทั้งหมด
ผู้ฟัง เคยได้ยินท่านอาจารย์ว่า ชวนะเสพโทสะมากๆ เกิดไปชาติหน้า ผิวพรรณจะทราม จริงไหมคะ
ท่านอาจารย์ เรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่วิจิตร ค่อยๆ ฟัง ถ้าเกิดเป็นคนผิวดำ รูปชั่วกับเกิดในอบายภูมิ อย่างไหนจะดีกว่ากัน
ผู้ฟัง ผิวดำดีกว่า
ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดเป็นลำดับ กุศลก็ประณีตต่างๆ กัน