ธาตุใหญ่ๆ คือ นามธาตุ กับ รูปธาตุ
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒
พอถึงคำว่าธาตุ คนที่ศึกษาเรื่องรูปธาตุ ก็จะมีธาตุเยอะเลย ไนโตรเจน ออกซิเจน อะไรก็แล้วแต่ว่าจะไปแยกเป็นธาตุต่างๆ แต่ในพระพุทธศาสนาย่อยเป็น ๒ ธาตุใหญ่ๆ คือ นามธาตุกับรูปธาตุ ถ้าสิ่งใดเป็นรูปธาตุ ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องมองเห็น อย่างเสียง เราก็มองไม่เห็น แล้วเสียงมีจริงหรือเปล่า ทุกคนต้องพิจารณา สัจธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เสียงมีจริง เมื่อเสียงมีจริง ต้องเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นนามธาตุหรือเป็นรูปธาตุ นี่เราก็ตอบได้ เพราะเหตุว่าเสียงรู้อะไรไม่ได้เลย โสตปสาท รูปหูก็รู้อะไรไม่ได้ด้วย เป็นแต่เพียงรูปที่มีอยู่ที่ตัว ที่สามารถจะกระทบกับสิ่งภายนอกซึ่งเฉพาะเสียงเท่านั้น
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมแต่ละอย่างที่ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงโดยละเอียดจริงๆ ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง อย่างหนึ่ง อย่างหนึ่ง ไม่ปนกัน ในพระไตรปิฎก บางทีบางคนจะสงสัย ใช้คำว่าตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กาย ๑ บางทีก็ใช้ ใจ ๑ ถ้าเป็นภาษาธรรมดาเราก็บอกว่า ๑ ตา ๒ หู ๓ จมูก ๔ ลิ้น ๕ กาย ๖ ใจ แต่ในพระไตรปิฎก ตา ๑แยกขาดจากทุกสิ่งหมด ๑ จริงๆ คือ ตา หู ๑ ปนกับอะไรก็ไม่ได้ หูก็เป็นหู เป็นโสตปสาท เป็นรูปที่สามารถกระทบกับเสียง ชีวิตเราทั้งหมดแยกย่อยออกไปแล้ว เราจะเห็นความจริงซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แม้แต่เพียงชั่วขณะสั้นๆ ซึ่งสั้นมาก แต่ก็ทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า ที่เราเคยยึดถือว่า เป็นเรา แท้ที่จริง ก็คือ ธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งมารวมกัน ตราบใดที่ยังไม่กระจัดกระจายออกไป ก็ยังมีความยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าของเราทุกอย่าง แต่ธรรมเป็นธรรม ไม่เป็นของใคร
ผมเป็นของเราหรือเปล่าคะ เป็น ตราบใดที่ยังอยู่บนศีรษะ เวลาไปตัดผม เขาก็เอาผมส่วนที่ตัดออกไปทิ้ง ยังเป็นของเราไหมคะ เฉพาะที่อยู่บนศีรษะ เป็น แต่พอแยกออกไปจากตัวเท่านั้น เล็บ เล็บของเรา แต่พอตัดทิ้ง ไม่ใช่ของเราแล้ว
นี่ก็แสดงให้เห็นความจริงว่า ถ้าเราค่อยๆ พิจารณาพระธรรม เราจะเห็นจริงๆ ว่าทุกคำที่ตรัสมีคุณค่ามาก เพียงแต่ว่าเราสามารถที่จะเข้าใจลึกถึงแค่ไหน เพราะเหตุว่าเวลาที่อยู่บนศีรษะเรา เป็นผมเรา อยู่ที่นิ้วเรา เป็นเล็บเรา หรือแขนของเราก็ได้ อยู่ตรงนี้ เป็นแขนเรา พอแขนขาด ต้องเอาไปทิ้งแล้ว ถ้าต่อไม่ได้ ก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปถึงตอนที่มันออกไปจากร่าง ถ้าเราเป็นคนที่มีปัญญาจริงๆ เราจะเห็นจริงว่า ทำไมทรงตรัสรู้ความจริงได้ว่า สิ่งที่เคยประชุมรวมกันแน่นหนา เหมือนกับไม่ได้แยกออกจากกันได้เลย แท้ที่จริงมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียดยิบ พร้อมที่ว่าทุกส่วนกระจัดกระจายแตกสลายเมื่อไรได้หมด แล้วไหนเรา แล้วส่วนไหนที่เป็นของเราจริงๆ ในเมื่อทุกส่วน ถ้าเป็นรูป จะแยกออกเป็นรูปที่เกิดจากกรรม ก็มี อันนี้ใครจะสร้างไม่ได้เลย นอกจากรรม รูปที่เกิดจากจิตก็อีกส่วนหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่ง อีกกลาปหนึ่ง กลาปะหรือกลาปในภาษาไทย หมายความถึงกลุ่มของรูปหลายๆ รูปที่รวมกัน ที่แยกกันออกไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ทั่วตัวเรา เมื่อกระจัดกระจายออกไปแล้ว นับกลาปถ้วนไหมว่า เท่าไร ไม่ถ้วน เพราะว่าเล็กจนกระทั่งมองไม่เห็น เช่นในขณะเกิด เวลาเกิด ต้องมีจิตเกิด แต่จิตก็ต้องมีนามธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย ต่อไปถ้ามีหนังสือเล่มใหญ่ๆ ชื่อ “ปรมัตถธรรมสังเขป” ก็จะทำให้เข้าใจขึ้น นามธรรมซึ่งไม่มีใครมองเห็นเลย แต่ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีจริง สิ่งที่มีจริงแล้วไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้น ต้องเป็นธาตุ เป็น ธา - ตุ เป็นธาตุ เพราะเหตุว่ามีจริงๆ แต่ว่าเป็นฝ่ายนามธาตุ
เพราะฉะนั้น จิตเป็นนามธาตุเกิดขึ้นพร้อมกับรูป ในขณะที่รูปเกิดพร้อมจิต ไม่มีใครมองเห็นเลย เล็กมาก แต่แม้กระนั้นก็มี ๓ กลุ่ม หรือ ๓ กลาป ซึ่งเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน กว่าจะค่อยๆ โต แล้วก็เกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อน ซึ่งมีอยู่ใน ๓ กลุ่มนั้นแหละ ทำให้รูปกลุ่มต่อไปเกิดต่อไปอีก แล้วก็หลังจากที่รับประทานอาหาร ส่วนหนึ่ง ส่วนใดที่ได้รับจากมารดาก็ตาม อาหารซึ่งมีในรูปก็จะทำให้เกิดกลุ่มของรูปอีก ซึ่งเป็นรูปที่เกิดเพราะอาหาร
เพราะฉะนั้น ที่ตัวของเราแยกโดยละเอียดยิบ บางส่วน บางกลุ่มเกิดจากกรรม บางส่วน บางกลุ่มเกิดจากจิต บางส่วน บางกลุ่มเกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อน ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสม แล้วบางส่วนก็เกิดจากอาหาร เวลานี้อยู่ที่นี่ทั้งหมด
เพราะฉะนั้น เราก็เกิดมาโดยไม่รู้เลย ว่ามันมาอย่างไร ไปอย่างไร รูปยิ้ม รูปหัวเราะ หรือรูปน้ำตาไหล โศกเศร้า ล้วนแต่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดทั้งนั้น เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างที่ใช้คำว่าธรรม หรือ ธาตุ หรือธา - ตุ ความหมายเดียวกัน
เพราะฉะนั้น เวลาที่จะศึกษาธรรม อย่าใจร้อน แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่เมื่อได้ยินได้ฟัง อะไรแล้ว ขอให้เข้าใจถ่องแท้จริงๆ แล้วจะไม่สับสน แล้วเราก็จะสามารถศึกษาต่อไปได้ ถ้าเข้าใจเดี๋ยวนี้แล้วว่า ธรรมไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย ที่ตัวเป็นธรรมทั้งหมด ภายนอกเป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ทุกขณะ ทุกอย่างที่มีจริงๆ เป็นธรรมทั้งหมด
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพราะทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงพระธรรม ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
สำคัญไหมคะ ธรรมนี่ ควรรู้หรือว่าไม่รู้ดีกว่า รู้แล้วไม่ใช่เรา มีคนหนึ่งที่กรุงเทพ เขาก็บอกว่า เวลาที่เป็นธรรมแล้ว เขารู้สึกเหมือนว่า เขาไม่ต้องทำดีก็ได้ เพราะว่าไม่ใช่ตัวเขา เป็นธรรม แต่พอเป็นตัวเขา เขาอยากจะทำดี เพราะเหตุว่าเขาเป็นคนที่จะรับผล
นี่แสดงให้เห็นว่า การฟังพระธรรม ต้องฟังอย่างพิจารณาจริงๆ ให้เข้าใจจริงๆ ว่าความจริงคืออย่างไร แล้วความคิดเก่าๆ ของเราคืออย่างไร แล้วเราทิ้งความคิดเก่าๆ ของเราไปบ้างหรือเปล่า หรือว่าเรายังยึดถือความคิดเก่าๆ ของเรา ถ้าเขาฟังโดยถ่องแท้โดยละเอียด สิ่งที่กำลังได้รับอยู่ในขณะนี้เป็นธรรมด้วย เพราะฉะนั้น ธรรมคือทั้งเหตุ และผล เหตุคือกรรม กรรมก็เป็นธรรม ผลของกรรม คือ วิบากก็เป็นธรรม
เพราะฉะนั้น ถ้ากรรมดี ผลก็ดี ไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นจิตดีเกิดขึ้น เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง นี่คือชีวิตประจำวัน ซึ่งเราอาจจะไม่รู้ว่า มาอย่างไร มาจากไหน แต่ความจริงต้องมีเหตุ ซึ่งอาจจะเป็นกรรมในปัจจุบันหรือว่ากรรมในอดีตอนันตชาติก็ได้ ซึ่งถ้าไม่มีการทรงแสดงแล้ว เราไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า จิตขณะนี้เป็นสภาพนามธรรมซึ่งเราใช้คำว่า อนิจจัง ตั้งแต่เกิด แต่อนิจจังของเรายาวมาก ตอนเกิดแล้วก็ตอนแก่เป็นอนิจจัง ตอนเจ็บถึงจะเป็นอนิจจัง ตอนตายถึงจะเป็นอนิจจัง แต่การตรัสรู้ ตรัสรู้ว่า สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับทันที หลังจากที่ทำหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทุกอย่างที่เกิด ที่เป็นธาตุต่างๆ จะมีลักษณะเฉพาะของธาตุแต่ละธาตุ แล้วก็จะมีกิจการงานของธาตุแต่ละธาตุ แล้วจะมีอาการปรากฏของธาตุแต่ละธาตุ แล้วก็จะมีเหตุใกล้ให้เกิดของธาตุแต่ละธาตุด้วย
ทั้งหมดอยู่ในพระไตรปิฎกส่วนสุดท้าย คือ พระอภิธรรมปิฎก แต่ถ้าเราไม่ศึกษาให้เข้าใจเป็นเบื้องต้น เราจะอ่านพระอภิธรรมปิฎกไม่เข้าใจเลย เพราะเหตุว่าทรงแสดงในยุคสมัยซึ่งมีผู้ที่มีปัญญามาก เพียงฟังสั้นๆ สามารถประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ได้ แต่ของเราค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณาว่า เป็นความจริงหรือเปล่า แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าสามารถประจักษ์การเกิดดับได้
ทราบไหมคะว่า ใครประจักษ์การเกิดดับเป็นพระอริยเจ้าหลังจากที่ทรงแสดงธรรมเป็นครั้งแรก อยู่ในพระสุตตันตปิฎก และพระวินัยปิฎก ต้องมีค่ะ ถ้าไม่มี การตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมเป็นโมฆะ คือ ไม่มีใครสามารถจะรู้ตามได้ แต่คนยุคโน้นกับคนยุคนี้ก็ห่างไกลกันประมาณ ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่ว่าคนยุคโน้นที่ท่านสามารถฟังธรรม แล้วเป็นพระอรหันต์ก็เยอะ ดับกิเลสหมด เป็นพระอนาคามี คือยังดับกิเลสไม่หมด แต่ดับความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่นในรส ในสัมผัสได้ ก็มี ผู้ที่สามารถที่จะเบาบางจากความติด ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็มี เป็นพระสกทาคามี ผู้ที่ละความเห็นผิด ความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรม เพราะไม่ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปในครั้งโน้นมีมาก เป็นพระโสดาบัน แต่กาลสมัยก็ผ่านมาจนถึงสมัยนี้ ถ้าคนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมมาเลย ก็คงจะไม่อยู่ตรงนี้ ก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง แต่เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วการสะสม ความเข้าใจมากน้อยย่อมต่างกัน แม้ในครั้งโน้นก็ต่างกัน ในครั้งนี้ก็ต่างกัน ในครั้งต่อๆ ไปก็ต่างกัน แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่มีศรัทธาพอสมควรที่จะได้เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ทรงแสดงธรรมเรื่องอะไร แล้วสอนเราเรื่องอะไร ที่จะให้ปัญญาของเราเองเกิดขึ้น เข้าใจพระธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ แต่ว่าเข้าใจถึงขั้นเป็นอริยบุคคลทันทีไม่ได้ ต้องเป็นไปตามลำดับ