ใช้อะไรเป็นเครื่องตัดสินว่า คนนี้บรรลุธรรม
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๔
ผู้ฟัง อาจารย์ ในสมัยของพระพุทธเจ้า เราใช้อะไรเป็นเครื่องตัดสินว่า คนนี้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้วคนนี้เป็นพระอรหันต์ จะเป็นไปได้หรือเปล่า ที่ว่าสมัยก่อนนั้นไม่มีประกาศนียบัตรเหมือนกับสมัยนี้ ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เป็นไปได้หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ใช้อะไรเป็นเครื่องวัดความรู้ ปัญญา แม้แต่คำว่าปัญญาคำเดียว ใครรู้แล้วว่าปัญญาคืออะไร คือทั้งหมด ถ้าไม่ศึกษาแล้วจะไม่รู้เลย ใช้คำมาตลอด แต่ไม่เคยรู้เลยว่าปัญญาคืออะไร
ผู้ฟัง ถ้าหากว่าใช้ปัญญาเป็นเครื่องวัด
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วใช้ก็ไม่ได้ ปัญญายังไม่มี
ผู้ฟัง ที่สมัยก่อน ที่อาจารย์บอกว่า ที่ดิฉันถามว่าจะใช้อะไรเป็นเครื่องวัดว่า ผู้นั้นเป็นพระอรหันต์ ผู้นั้นเป็นพระโสดาบัน อาจารย์บอกว่าใช้ปัญญา
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนที่ประสูติ ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกไหมคะ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มีกิเลสไหมคะ มี ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องมีการอบรมปัญญาที่จะตรัสรู้ ไม่ต้องมีการดับกิเลส
เพราะฉะนั้น ขณะที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ดับกิเลสเลย เวลาที่บรรลุธรรม จะใช้คำนี้ก็ได้ หรือว่าตรัสรู้อริยสัจธรรมเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ อะไรที่ทำให้ตรัสรู้ อะไรที่ทำให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ใช่ปัญญา อวิชชาทุกคนมี ทุกคนไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีปัญญา เป็นไม่ได้ เป็นไม่ได้เลย ยังคงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ หรือแม้แต่ท่านพระอานนท์ ท่านพระเทวทัต ท่านใดๆ ก็ตามทั้งสิ้น ถ้ายังมีอวิชชาอยู่ก็ไม่ใช่พระอริยบุคคล ต้องเป็นปัญญาที่สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรม จึงจะเป็นพระอริยบุคคลได้
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนตัดสิน หรือพระพุทธเจ้าเป็นคนตัดสิน แต่เมื่อปัญญาของพระองค์เอง สามารถที่จะเกิดในขณะที่ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประจักษ์ความเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมในขณะนี้ แล้วรู้แจ้งอริยสัจธรรมพร้อมด้วยพระญาณต่างๆ จึงทรงเป็นผู้ที่ทรงพระคุณนามเพียงพระองค์เดียว คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลอื่นชื่อนี้ไม่ได้เลย แม้ว่าจะรู้ตามก็ชื่อไม่ได้ เพราะไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องของปัญญาโดยตรง แล้วไม่ใช่ปัญญาเฉพาะพระองค์เอง ทรงแสดง ๔๕ พรรษา แล้วก็ศึกษาในพระไตรปิฎกวันละหลายครั้ง ยิ่งกว่าใคร วันนี้ตั้งแต่เช้ามา เรามานั่งที่นี่ ชั่วครู่ แต่พระองค์ ตั้งแต่ยังไม่เสด็จออกบิณฑบาต ก็มีพระญาณที่จะดูว่า บุคคลไหนควรที่จะได้ไปสนทนาด้วย เพื่อที่ว่าเขาจะได้มีโอกาสฟังพระธรรม การตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อให้คนอื่นได้ฟังพระธรรมที่ตรัสรู้
เพราะฉะนั้น พุทธกิจเป็นเรื่องของการทรงแสดงธรรมตลอด ตั้งแต่ก่อนบิณฑบาต หลังบิณฑบาต เวลาที่เสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว ตอนบ่าย ตอนเย็น ตอนค่ำ ตอนดึก เป็นเรื่องของการทรงแสดงธรรมทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นสิ่งซึ่งหายากที่จะได้ฟัง แต่เมื่อฟังแล้ว ศึกษาแล้ว สามารถที่จะรู้ได้ นี่เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าสอนเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ให้เกิดความเข้าใจขึ้น นั่นคือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องไปที่ไหน กำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ คนฟังเป็นพระอรหันต์ได้ เป็นพระโสดาบันได้ ถ้าสามารถเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นมีคนถามว่าอะไรที่ยากที่สุด สิ่งที่ยากที่สุดคือการฟังให้เข้าใจ นี่เป็นบันไดขั้นที่ ๑ แม้แต่คำๆ เดียวก็จะต้องฟัง ฟังให้เข้าใจจริงๆ ถ้าเข้าใจความหมายของธรรม หมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เราก็รู้แล้ว อะไรเป็นธรรมบ้าง กลิ่นเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น แล้วก็ต้องแยกเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๒ อย่าง ซึ่งปนกันไม่ได้เลย ธรรมใดเป็นนามธรรม เป็นสภาพที่สามารถที่จะรู้ สามารถที่จะเห็น สามารถที่จะเป็นสุขเป็นทุกข์ จำได้ คิดได้ เข้าใจได้ นี่คือนามธรรมทั้งหมด แต่ถ้ารูปธรรม ถึงแม้ว่าจะมีจริงๆ ก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ อย่างลักษณะที่แข็ง แข็งไม่รู้เลยว่า มีใครมากระทบ เกิดมาก็เป็นเพียงแข็ง ซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ต้องมีทั้งนามธรรม และรูปธรรม แล้วก็ทรงแสดงเรื่องของนามธรรม และรูปธรรมโดยละเอียดจนหาความเป็นเราไม่ได้ ผู้ที่จะเป็นพระอริยบุคคลต้องสามารถที่จะเห็นความจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่างที่กำลังปรากฏ จนประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่ว่าต้องมาจากขั้นการฟังเสียก่อน