สะสมมาที่อะไรจะเกิด ก็เกิดในขณะนั้น


    ผู้ฟัง โลภะ จูง ได้ยังไง นึกว่าอันนี้ทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วย อันนี้มานะเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่จริงๆ แล้วก็โลภเจตสิกเป็นตัวสำคัญ

    ท่านอาจารย์ อวิชชา เป็นสภาพที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นอวิชชาก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นอกุศลเจตสิก ไม่ใช่จิต แต่เป็นสภาพที่ไม่สามารถที่จะรู้ ไม่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนั้นจึงมีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ขณะนี้ รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏหรือเปล่า ถ้าไม่รู้ เราเกือบจะไม่รู้เลย ว่าขณะนั้นที่เห็นแล้วก็มีความติดข้องในสิ่งที่เห็น ถ้าขณะนั้นไม่ใช่โทสะ คือไม่ใช่ความขุ่นเคืองใจ เพราะเหตุว่าอารมณ์ ถ้าเป็นรูป ก็เป็นประเภทที่น่าพอใจประเภทหนึ่ง และก็เป็นประเภทที่ไม่น่าพอใจอีกประเภทหนึ่ง

    รูปมีสองอย่าง รูปที่น่าพอใจก็มี รูปที่ไม่น่าพอใจก็มี ถ้าเป็นรูปที่ไม่น่าพอใจปรากฏ จะให้โลภะเกิดไม่ได้ ถ้าเป็นรูปที่น่าพอใจเกิดขึ้น ก็จะให้โทสะเกิดไม่ได้ แต่มีอวิชชา ความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นอารมณ์ที่ติดข้อง ก็จะทำให้มีความยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเรา เพราะเหตุว่า "ไม่รู้ " ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรม หรือว่าในขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แล้วมีความติดข้องว่า "เป็นเรา" ก็อาจจะมีความรู้สึกว่ามีความต้องการสิ่งนั้น และถ้าไม่ได้สิ่งนั้นก็เกิดโทสะ

    คือเรื่องของสภาพธรรมแต่ละประเภทก็อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น และปัจจัยที่สำคัญก็คืออวิชชา ความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมนั้น แต่ขณะจิตจะเกิดขึ้นเป็นโลภะโดยไม่มีทิฏฐิหรือว่าเป็นโลภะที่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย หรือว่าเป็นโลภะที่มีความสำคัญเกิดร่วมด้วย หรือจะเป็นโทสะก็ต้องแล้วแต่ว่าขณะนั้น มีการสะสมมาที่อะไรจะเกิดขึ้นในขณะนั้น


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 138


    หมายเลข 9296
    29 ส.ค. 2567