ธรรมเป็นสิ่งที่ชัดเจน แจ่มแจ้ง เด็ดขาด แน่นอน


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๑


    ผู้ฟัง แล้วผมอยากรู้จักว่าชาติภพ หมายความว่า การเกิดการตายของชาติ ใช่ไหม แล้วถ้าสมมติว่า มันมีรูปนาม มันต่อเนื่องกันกับชาติได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ คือเวลานี้ต้องทราบว่า เรามีหรือเปล่า มีเราไหมคะ มีหรือคะ อยู่ตรงไหน เป็นอะไร ถ้ามีก็ต้องหาได้ ใช่ไหมคะ ว่าเราอยู่ที่ไหน ที่ว่าเป็นเรา คือเมื่อไร ขณะไหน

    ผู้ฟัง ถ้าพูดว่าไม่มีก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นสิ่งที่ชัดเจน แจ่มแจ้ง เด็ดขาด แน่นอน ไม่เป็น ๒ เพราะเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะกล่าวว่าอนัตตา เราเพียงพูดตาม ไม่ยากเลย ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ใครจะบังคับได้ แม้แต่ใจเรา ใครจะบังคับไม่ให้โกรธ บังคับไม่ให้โลภ บังคับไม่ให้เสียใจ บังคับไม่ให้ดีใจ บังคับอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น นี่ก็เป็นความหมายหนึ่งของอนัตตา คือ ไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร ความจริงแล้ว ถ้าเราศึกษาเรื่องธาตุ ธา - ตุ เราจะเห็นความจริงว่า ทุกอย่างที่มีจริงที่เกิดขึ้น ที่ใช้คำว่าธาตุ หรือธา - ตุ เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง ไม่ปะปนกัน เหมือนธาตุแต่ละชนิด ก็เป็นลักษณะเฉพาะของธาตุนั้นๆ

    เพราะฉะนั้น เวลาพูดถึงรูปธรรม หมายความถึง รูปธาตุ ใช้คำเดียวกันได้ คือเป็นสิ่งที่มี แต่สิ่งนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า เรากระทบสัมผัสสิคะ อะไรปรากฏ กระทบสัมผัสตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า อะไรปรากฏ ลองจับดู

    ผู้ฟัง ความแข็ง

    ท่านอาจารย์ แข็ง แล้วแข็งที่ตัวกับแข็งที่ไหนก็คือแข็ง เราจะเรียกแข็งว่าโต๊ะ เรียกแข็งว่าเสื่อ เรียกแข็งว่าอะไรก็ตาม แต่ลักษณะที่แท้จริง ยังไม่ต้องมีใครเรียกเลยทั้งสิ้นก็คือแข็ง จะรู้ได้เมื่อไร เมื่อกระทบสัมผัส ต่อให้นึกถึงแข็งสักเท่าไร ก็ไม่รู้สึกความแข็ง จนกว่าจะกระทบสัมผัส เช่นเดียวกับความเย็น หรือความร้อน เวลาที่ไม่กระทบสัมผัสเรารู้ว่าไฟร้อน แต่บอกได้ จำได้ว่าไฟร้อน แต่เดี๋ยวนี้ร้อนปรากฏหรือเปล่า ต่อให้รู้ว่าไฟร้อน ร้อนก็ไม่ได้ปรากฏ จนกว่ากระทบร้อนเมื่อไร ลักษณะร้อนนั้นจึงปรากฏ

    เพราะฉะนั้น นี่เป็นธาตุ ซึ่งใครเปลี่ยนแปลงลักษณะไม่ได้ ธาตุร้อนก็ต้องร้อนธาตุแข็งก็ต้องแข็ง เพราะฉะนั้น สิ่งซึ่งเป็นรูปธาตุ จะเป็นอื่นไม่ได้นอกจากรูปธาตุ สิ่งที่เป็นนามธาตุต่างกับรูปธาตุ เพราะเหตุว่ารูปธาตุไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่นามธาตุสามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่าง ตั้งแต่เกิดจนตายรู้อะไรบ้าง เห็นอะไรบ้าง จำอะไรบ้าง คิดอะไรบ้าง ทั้งหมดเป็นนามธาตุ

    เมื่อรู้จริงๆ ว่า เป็นนามธาตุ รู้จริงๆ ว่า เป็นรูปธาตุ แล้วเอาตรงไหนมาเป็นเรา เราจะไปแทรกอยู่ตรงไหนได้ ถ้ารู้จริงๆ แต่ถ้าไม่รู้ว่า เป็นนามธาตุ เป็นรูปธาตุ ก็ต้องเป็นเราตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ตั้งแต่เกิดจนตาย

    เพราะฉะนั้น อะไรถูกอะไรผิด อะไรเป็นความเข้าใจถูก อะไรเป็นความเข้าใจผิด อะไรเป็นความเห็นถูก อะไรเป็นความเห็นผิด ถ้าเป็นความเห็นถูกก็คือว่า ไม่ใช่ถูกเพราะคนนี้คิดเอา หรือว่าไม่ใช่ถูก เพราะคนนั้นบอก แต่ถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้น คำว่า “อรหันตสัมมาสัมพุทโธ” หรือสัมพุทธเจ้า หมายความว่าตรัสรู้ธรรมโดยชอบ “ชอบ” ที่นี่อาจจะไปแปลว่าตามใจชอบ แต่ความจริงไม่ใช่ ชอบคือถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าใครรู้ความจริงของสภาพธรรมถูกโดยชอบ ไม่ใช่โดยผิด ก็คือว่ารู้ความจริงของสภาพธรรมนั้น

    ยังมีเราอีกไหมคะ หรือมีนามธาตุกับรูปธาตุเท่านั้น ไม่ว่ากี่ภพ กี่จักรวาล ที่ไหนก็ตาม ธรรมจะต้องมี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ เป็นนามธาตุกับรูปธาตุเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น สัจธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วถ้าเป็นปัญญาก็เป็นปัญญาที่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ไม่ใช่ไปรู้ในขณะอื่น ถ้าเราเพียงแต่คิดนึกถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว จะบอกว่าเรารู้ชัดแจ่มแจ้งได้ไหม ในเมื่อเพียงคิด หรือว่าสิ่งที่ยังไม่เกิด เราก็บอกว่าเรารู้แล้ว ต่อไปจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สิ่งนั้นก็ยังไม่เกิด

    เพราะฉะนั้น ก็ยังคงเป็นแต่เพียงความคิด แต่ปัญญาจริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ปัญญาคือความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะเกิดขึ้นจึงปรากฏ เมื่อเกิดแล้วก็ดับทันที

    นี่เป็นสิ่งที่จะต้องอบรมจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง เพราะถ้าไม่ดับ เห็นนี้ก็เห็นตลอดไป ไม่มีได้ยิน ใช่ไหมคะ แต่นี้จะมีใครบ้างที่เห็นแล้วไม่มีได้ยิน ไม่มีคิดนึก แต่เพราะความรวดเร็วของการเกิดดับของจิต ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้จนกว่าจะมีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมดตามความเป็นจริง แล้วก็ทรงพระมหากรุณาที่จะแสดงพระธรรมที่ตรัสรู้ให้มีผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ได้เกิดความเข้าใจ เป็นปัญญาของตนเอง จนกระทั่งถึงเราขณะนี้ที่สามารถจะมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมเทศนาซึ่งตรัสด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์ ณ พระวิหารเชตวัน และสถานที่อื่น ซึ่งยังจารึกไว้ แล้วเราก็สามารถจะฟัง และศึกษาได้

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นอย่าลืมว่า ไม่มีอะไรนอกจากนามธรรม และรูปธรรม คือทั้งหมดทุกอย่างเป็นธาตุ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง แล้วถ้าเป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นก็ต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง นามธรรมที่ไม่เกิดก็มีอย่างเดียว คือ นิพพาน ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งที่จะเกิดขึ้น จึงเป็นธาตุหรือธรรมที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะว่าไม่มีลักษณะที่กิเลสจะเข้าไปติดข้องได้เลย


    หมายเลข 9302
    21 ส.ค. 2567