อะไรไปจุติ และปฏิสนธิ


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๓


    ผู้ฟัง ขอถามอาจารย์ กลัวมันจะผ่านไป อาจารย์บอกว่า เมื่อกี้นี้จิตเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ จนกว่าจะไปถึงจุติแล้วปฏิสนธิ อะไรไปจุติ และปฏิสนธิ

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดต้องมีในชาตินี้ ไม่อย่างนั้นจะไม่เรียกว่าคนหรือสัตว์เกิด ก็ต้องเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เป็นเนื้องอก เป็นอะไรไป แต่ที่กล่าวว่า คนเกิด สัตว์เกิด ต้องมีนามธรรมเกิดขึ้น คือ จิต และเจตสิก จิต และเจตสิกขณะแรกของชาตินี้ ชื่อว่า ปฏิสนธิจิต เพราะว่าสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน หมายความว่า ทันทีที่ตายก็เกิด

    เพราะฉะนั้น เราก็มักจะโศกเศร้าเสียใจถึงคนที่ตาย แต่ว่าเขาเกิดแล้ว แล้วเขาจะเกิดเป็นอะไรเท่านั้นที่เราไม่ทราบ ถึงเราก็เหมือนกัน วันหนึ่งก็ต้องจากโลกนี้ แล้วก็ยังมีกรรมแน่นอน ที่จะทำให้เกิดเป็นบุคคลไหนก็ได้

    อย่างเราขณะนี้ อาจจะไม่ทราบว่า เราจากใครในโลกก่อนมา ซึ่งรักเราอย่างมากเป็นญาติสนิทมิตรสหาย ป่านนี้กำลังร้องไห้ถึงเราก็ได้ แต่เราไม่รู้ ไปเจอเขาเราก็ไม่รู้ว่า คนนี้เขากำลังคิดถึงเรา เพราะเราเกิดมาเป็นคนนี้ เขาอาจจะมีอายุ ๙๐ ปี เป็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายอะไรก็แล้วแต่ แต่เราเห็น เราก็ไม่รู้ ไม่มีความผูกพัน

    เพราะฉะนั้น เราก็เป็นเรา คนนี้เพียงสั้นๆ คือชั่วอายุ ที่แล้วแต่ว่าใครจะมีอายุสั้นหรือยาว แต่ความจริงก็เป็นเพียงสมมติของจิต เจตสิก และรูปซึ่งเกิดดับเท่านั้นเอง แล้วจิต เจตสิก รูป ที่เกิดแล้วดับไป ที่แน่นอนที่สุด ที่ควรจะทราบว่า ไม่มีจิตสักขณะซึ่งกลับมาอีก เจตสิก รูป ไม่มีกลับมาอีกเลย เห็นขณะเมื่อกี้กับเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ขณะเดียวกัน จักขุปสาทรูปซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดเห็น ก็ไม่ใช่จักขุปสาทรูปก่อน จักขุปสาทรูปนั้นดับแล้ว

    เพราะฉะนั้น ชีวิตจริงๆ สั้นแสนสั้น แล้วเท่ากันทุกคน คือมีขณะย่อยสั้นๆ ๓ ขณะ คือ อุปาทขณะ ขณะเกิด แล้วก็ภังคขณะ ขณะดับ แต่ก่อนที่จะเป็นภังคขณะ ก็เป็นขณะที่ตั้งอยู่สั้นๆ เป็นฐีติขณะ

    เพราะฉะนั้น จิต ๑ ขณะซึ่งแสนสั้น ก็ยังมีขณะย่อย คือ ขณะที่จิตเกิด ไม่ใช่ขณะที่จิตดับ แล้วก็ขณะที่ตั้งอยู่ ก็ไม่ใช่ขณะที่เกิด และไม่ใช่ขณะที่ดับ

    เพราะฉะนั้น ที่ต้องการความสุข ความสุขนั้นจะสั้นสักแค่ไหน แล้วก็ไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่าจริงๆ เพราะอะไรคะ เกิดแล้วหมด หมดจริงๆ ไม่เหลือ ถ้าใครจะมีมานะ ความสำคัญตน ถือว่าเป็นเรามีความสำคัญมาก ก็เหมือนลูกโป่งลอยขึ้นไปแล้ว แล้วแต่ว่าจะลอยไกลสักแค่ไหน แล้วในลูกโป่งมีอะไรที่เป็นสาระ

    ผู้ฟัง ที่เป็น mass ก็เป็น Air

    ท่านอาจารย์ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ชีวิตก็คืออย่างนี้ ถ้าเราไม่มีปัญญาอย่างนี้ เราก็คงจะทำอกุศลมาก สะสมโลภะเยอะๆ โทสะมากๆ ไม่มีการให้อภัย ไม่มีการช่วยเหลือสงเคราะห์ใครทั้งสิ้น แต่เวลาที่เราเห็นธรรมเป็นธรรม เราจะเห็นความน่ารังเกียจของอกุศล แต่ต้องเป็นไปตามระดับขั้น ขั้นปุถุชน คนที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล เพียงฟังแล้วก็เข้าใจ แต่ยังไม่เห็นลักษณะซึ่งเป็นเพียงธาตุ

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นเพียงธาตุแต่ละชนิดตรงตามลักษณะของธาตุนั้นๆ ก็ต้องอบรมจนกว่าจะมีความเห็นถูกในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม จนประจักษ์แจ้งการเกิดดับ จนหน่าย คลายความติดข้องในความเห็นว่าเป็นเรา จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งลักษณะของนิพพาน หมดความสงสัยในอริยสัจ ๔ เป็นพระโสดาบันบุคคล แต่หิริ หรือโอตตัปปะ ความละอาย ความรังเกียจ ความเห็นโทษของอกุศลของพระโสดาบันก็ยังไม่เท่าของพระสกทาคามี

    เพราะฉะนั้น ปัญญาก็จะต้องอบรมเจริญต่อไป คือ นามธรรม รูปธรรมนั่นแหละที่สติระลึก ที่เคยระลึกมาแล้ว แต่เริ่มเห็นโทษขึ้นอีกว่า ลักษณะนี้มีความที่เป็นโทษขั้นนั้นขั้นนี้ ก็เป็นการอบรมเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ

    ผู้ฟัง คือต้องการทำวิปัสสนา อารมณ์ทั้ง ๒ อย่าง อารมณ์อานาปานสติ มันมีทั้ง ๒ อย่าง ทั้งสมถะ และวิปัสสนา ...

    ท่านอาจารย์ เป็นปัญญาต่างขั้น เพราะเหตุว่าแม้ว่าอารมณ์จะเป็นอารมณ์เดียวกัน แต่อารมณ์นั้น ขณะที่จิตระลึกแล้วสงบ เป็นสมถะ แต่ขณะที่ระลึกแล้วรู้ลักษณะที่เป็นรูปธรรม ขณะนั้นเป็นปัญญา ที่เป็นวิปัสสนา ถ้าเป็นการอบรมเจริญสมถภาวนา จะไม่รู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม

    ผู้ฟัง ความสงบ

    ท่านอาจารย์ เท่านั้น

    ผู้ฟัง เวลานั่งสมาธิ เอาอารมณ์ ๒ อย่าง ทีนี้อยากทำวิปัสสนา นี่ ...

    ท่านอาจารย์ ถ้าใครอยากทำวิปัสสนาก็ผิดเลย เพราะไม่ใช่เรื่องเราอยาก แต่เป็นเรื่องการอบรมปัญญา ความรู้ความเข้าใจก่อน

    ผู้ฟัง เป็นเรื่องสมมติ มันเกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีการฟัง มีการพิจารณาไตร่ตรอง ต้องมีปัญญาแน่นอน ค่อยๆ มี ช้าหรือเร็ว


    หมายเลข 9304
    21 ส.ค. 2567