รูปที่ไหนก็ตาม ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม รูปก็เกิดดับ
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๕
ผู้ฟัง อาจารย์ ที่ว่ารูปเกิดแล้วดับ รูปในป่าเกิดแล้วดับ
ท่านอาจารย์ คำใดที่ตรัส คำนั้นไม่เป็นสอง ต้องเป็นอย่างเดียว รูปที่ไหนก็ตาม ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม รูปก็เกิดดับ
ผู้ฟัง ทีนี้เกิดจากอะไร รูปไม่มีจิต
ท่านอาจารย์ รูปเกิดจากกรรมก็มี รูปเกิดจากจิตก็มี รูปเกิดจากอุตุ คือความเย็นความร้อนก็มี รูปเกิดจากอาหารก็มี นี่คือสมุฏฐานที่ก่อตั้งให้เกิดรูป
ผู้ฟัง เวลาที่รูปเกิด ...
ท่านอาจารย์ ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ใครจะรู้หรือไม่รู้รูปก็เกิดดับ ไม่จำเป็น ขณะนี้ รูปที่ตัวคุณหมอ รูปใดที่ไม่ปรากฏ รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้ว แล้วก็เกิดอีกแล้วก็ดับอีก แล้วก็เกิดอีกแล้วก็ดับอีก
ผู้ฟัง สมมติว่ากายเรา เราจะมองไม่มอง ก็
ท่านอาจารย์ เกิดดับแน่นอน
ผู้ฟัง ... กายที่เกิดแล้วดับ
ท่านอาจารย์ หมอคิดว่าจะเห็นการเกิดดับของกาย
ผู้ฟัง หรือว่าจะต้องสัมพันธ์กับจิต
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวเลย ถ้ายังเป็นกาย มันไม่ดับ เพราะว่าเป็นเรื่องราวไม่ใช่เป็นการรู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏก่อนที่หมอจะคิดว่ามันเป็นกาย ลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่คน ไม่ใช่กาย ไม่ใช่อะไร เป็นสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท ธาตุนี้มีจริง พอกระทบแล้วปรากฏ ปรากฏจนกระทั่งมีความจำ ค่อยๆ จำ รูปร่างสัณฐานจนเป็นเรื่องเป็นราว เป็นกาย เป็นคน แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตาจะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้ เป็นได้อย่างเดียวคือกระทบตาแล้วปรากฏ จะไปเอาคนจากสิ่งที่เพียงกระทบตาแล้วปรากฏหรือคะ
ผู้ฟัง ไม่ได้ ... เกิดแล้วดับ ต้องสัมพันธ์กับจิตที่เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ ไม่เกี่ยว นั่นหมอพยายามเอาจิตมาดับ รูปจึงดับ ไม่ใช่ค่ะ
ผู้ฟัง ถ้าไม่อย่างนั้น จิตของใครจะไปดับรูปที่เกิด และดับในป่า
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ในป่า หมอมีคำสมมติว่าในป่า หมอมีคำสมมติว่าโลก แต่จริงๆ แล้วโลกปรากฏเมื่อไร ก่อนอื่นขณะแรกที่หมอเกิด ขณะแรกจริงๆ ที่จิตเกิด ไม่รู้จักโลกนี้เลย โลกนี้ไม่ได้ปรากฏกับจิตขณะแรกที่เกิด แน่นอน ตาไม่มี หูไม่มี เพราะว่าเป็นกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุด แต่กลุ่มของรูปที่เล็กที่สุด เมื่อเกิดแล้วเพราะกรรม นี่คือรูปที่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน เวลานี้หมอมีตาหมอทราบไหมว่า กรรมทำให้จักขุปสาท กรรมทำให้รูปนี้เกิด มีโสตปสาท ทราบไหมกรรมทำให้รูปนี้เกิด
ผู้ฟัง เป็นไปได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ เป็นไปได้อย่างไร ไม่เห็น ตอนทำให้เกิดไม่เห็น
ผู้ฟัง ...
ท่านอาจารย์ เป็นเหตุเป็นผล พิจารณา เพราะฉะนั้น เราก็ต้องพิจารณาทุกอย่าง นี่คือรูปที่เกิดเพราะกรรม มีรูปที่เกิดเพราะจิตด้วย ต่างจากรูปที่เกิดเพราะกรรม ถ้าเป็นเพียงรูปที่เกิดเพราะกรรม รูปที่เกิดเพราะจิต มีการพูด มีการเคลื่อนไหว มีการกระทำต่างๆ เหล่านี้ ถ้าไม่มีจิต รูปเคลื่อนไหวไหมคะ โต๊ะนี้จะยกขาโต๊ะก็ไม่ได้ ไม่มีจิต คนตายมีรูปจริง ทำอะไรไม่ได้เลย เหมือนท่อนไม้ ไม่ต่างกันเลย
เพราะฉะนั้น รูปที่ตัวที่ยังไม่ตาย ก็คือรูป คือไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น จิตหลังจากที่เกิดครั้งแรก ขณะแรก ดับไหมคะ ดับ เราเรียกจิตขณะแรกว่า ปฏิสนธิจิต ซึ่งบาลีอาจจะออกเสียงเป็น ปฏิ สัน ธิ หมายความถึงสืบต่อจากขณะสุดท้ายของชาติก่อน คือ จุติจิต ทันทีที่ตายก็เกิด เหมือนกับขณะนี้จิตเกิดดับสืบต่อกันตลอดเวลา เพราะเหตุว่าจิตเองเป็นสภาพหรือธาตุที่วิจิตร น่าอัศจรรย์ ที่ว่าทันทีที่ดับ ตัวจิตที่ดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ยับยั้งไม่ได้เลย จนกว่าจะถึงจุติจิตของพระอรหันต์ที่ดับแล้วก็ไม่มีการเกิดอีก
เพราะฉะนั้น จิตของใครก็ตามเมื่อเกิดขึ้นดับ จิตต่อไปยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ขณะนั้นจิตทำกิจ จิตทุกจิตเกิดขึ้นทำหน้าที่การงานอย่างหนึ่ง อย่างใด ขี้เกียจไม่ได้ เพราะว่าเป็นธาตุ เมื่อเป็นธาตุก็มีลักษณะ แล้วก็มีหน้าที่ของธาตุนั้นๆ มีอาการปรากฏ มีเหตุใกล้ที่จะให้เกิดเฉพาะอย่าง เฉพาะอย่าง ที่เราต้องพูดยาว เป็นลำดับ เพื่อจะให้รู้ว่า รูปเขาดับ แต่ว่าก่อนที่จะพูดเรื่องนั้นต้องเข้าใจก่อนว่า ก่อนที่จะเป็นกาย จะต้องมีอะไรเสียก่อน เพราะฉะนั้น รูปที่เกิดพร้อมปฏิสนธิจิตเล็กมาก ดับ มองไม่เห็น แต่รูปนั้นดับหรือเปล่า แล้วทำไมกาย หมอจะบอกว่าไม่ดับ รูปทุกรูปเป็นรูปซึ่งเกิดแล้วต้องดับ
ผู้ฟัง เราพูดในความหมายที่ว่า เวลาที่ตาเกิดขึ้นแล้วดับ ส่วนมากจะสัมพันธ์กับจิต
ท่านอาจารย์ ไม่จำเป็น เพราะเหตุว่าตอนหมอเกิด หมอมีรูป ปฏิสนธิจิตเกิดจะมีกลุ่มของรูป เล็กที่สุดมองไม่เห็นเลย ๓ กลุ่ม ภาษาบาลีใช้คำว่า กลาป กลุ่มหนึ่งก็คือกาย ประกอบด้วยรูป ๑๐ รูป กายปสาท อีกกลุ่มหนึ่งก็เป็นภาวรูป หญิง หรือชาย ๑ กลุ่ม ๑ กลาป แล้วก็กลุ่มของหทยรูป ซึ่งเป็นรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต เพราะว่าในภูมิที่มีนาม และรูปร่วมกัน นามต้องอาศัยรูปเกิด จะเกิดเองตามลำพังไม่ได้
เพราะฉะนั้น จิตไม่ได้เกิดล่องลอยอยู่ตามอากาศ หรือทีโต๊ะ ที่เก้าอี้ แต่ต้องอาศัยรูป ซึ่งทันทีที่เกิดอาศัยกัน และกัน เป็นปัจจัยโดยสหชาต เกิดพร้อมกันด้วยปัจจัย แล้วโดยอัญญมัญญปัจจัย คือต่างต้องพึ่งพิงอาศัยกัน และกัน คือ จิตก็อาศัยรูป รูปที่เกิดถ้าไม่มีจิต รูปนั้นก็เกิดไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นรูปที่มีกรรมเป็นสมุฏฐานก็จริง แต่ขณะแรกต้องมีจิตเกิด ซึ่งเป็นผลของกรรม
เพราะฉะนั้น กรรมที่ทำแล้วเป็นปัจจัยให้จิต เจตสิก และรูปซึ่งเป็นผลของกรรมเกิดขึ้น ถ้ายังไม่เห็นความต่างของนามกับรูป เราจะปนกันเสมอ แต่ถ้าเรารู้ความต่างโดยเด็ดขาด นามธรรมไม่ใช่รูปธรรม โดยเด็ดขาด แยกไปเลย รูปธรรมไม่ใช่นามธรรมโดยเด็ดขาด จะที่ตัวหรือนอกตัว หรือที่ไหน รูปธรรมก็เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย ต้องแยกอย่างนั้นก่อน แล้วหมอจะเห็นว่า ตอนที่หมอเกิด มีกลุ่มของรูป รูปกลุ่มนั้นมีอายุ ๑๗ ขณะจิต ปฏิสนธิจิตเกิดดับไป ภวังคจิตเกิดสืบต่อไปอีก รวมแล้ว ๑๗ ขณะ รูปที่เกิดดับ แล้วก็รูปที่เกิดอีกโดยสมุฏฐานอื่น เช่น กรรมทำให้รูปเกิด ทุกขณะ ของที่เป็นขณะย่อย แล้วหมอเข้าใจโดยที่หมอ ไม่เห็นแต่หมอรู้ว่ารูปนั้นดับ หมอสามารถจะเข้าใจได้ ว่ารูปนั้นดับฉันใด หมอก็ต้องสามารถจะเข้าใจได้ว่า รูปใดๆ ทั้งหมด ไม่มียกเว้นเลย เกิดแล้วต้องดับ
ผู้ฟัง คือถ้าอยากให้เข้าใจตามๆ ก็คงจะใช้ความจำ แต่ไม่เข้าใจคำว่า รูปที่ไม่มีชีวิต เขาเกิดแล้วดับได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ รูปทุกรูปหมอ ต้องทราบว่าคืออะไรก่อน
ผู้ฟัง คือสภาพที่ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ค่ะ ประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม นี่เป็นมหาภูต คือ รูปที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน รูปใดๆ ที่ปรากฏ หมอต้องรู้ว่า ขาด ๔ อย่างนี้ไม่ได้เลย ๔ อย่างนี้เป็นประธาน อย่างกลิ่น หมอมองเห็นรูปร่างกลิ่นไหม แต่กระทบสัมผัสโดยฆานปสาท แล้วกลิ่นปรากฏ หมอรู้ไหมว่า มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมที่กลิ่นนั้น แต่ต้องมี เพราะฉะนั้น หมอจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ไม่ใช่หมอต้องไปรู้ไปเห็นว่า มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมอยู่ตรงนั้น แล้วกลิ่นถึงจะปรากฏ เพราะเหตุว่ารูปกลิ่นเขาจะไม่กระทบอะไรเลย นอกจากฆานปสาท ซึ่งเป็นรูปพิเศษซึ่งจะกระทบเฉพาะกลิ่น แต่กลิ่นจะมีไม่ได้ ถ้าไม่มีมหาภูตรูป ๔
ผู้ฟัง คือรูปเกิดดับ แต่ว่าถ้าเรารู้หรือไม่รู้ มันก็จะเกิดดับ
ท่านอาจารย์ หมอไม่เข้าใจอย่างนี้ หมอคิดว่าเฉพาะรูปที่มีชีวิตเท่านั้น คือหมอไม่เข้าใจว่า รูปคือรูป แล้วรูปก็ต้องประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ไม่ว่าจะที่ตัวหรือนอกตัว เพราะฉะนั้น ที่ตัวเป็นมหาภูตรูป ๔ เกิดดับ มหาภูตรูป ๔ ข้างนอกก็ต้องเกิดดับเหมือนกัน