สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๗
ผู้ฟัง ตอนนี้ที่ว่า เกิดทุกวันๆ เสื่อมไปๆ จนมีการเกิดดับเกิดดับ นั้นคือความรู้
ท่านอาจารย์ จนกระทั่งปรากฏความเสื่อม
ผู้ฟัง จนกระทั่งปรากฏความเสื่อม แต่เราไม่เห็น เขาก็มี
ท่านอาจารย์ เขาเป็นอย่างนั้น รูปที่นี่ รูปที่นั่น รูปที่ไหน อะไรก็ตามที่เกิด เป็นสังขารธรรม ลักษณะของสังขารธรรมมี ๓ อย่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง สภาพที่ไม่เที่ยง ไม่ใช่สภาพที่น่ายินดีพอใจ เวลาที่เรายินดีพอใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด เราคิดว่าสิ่งนั้นเที่ยง ดอกไม้สวย มองเห็นสวย เป็นดอกไม้ อยู่ได้เป็นอาทิตย์ อยู่ได้เป็นเดือน เพราะอย่างนั้นเราจึงมีความพอใจในสิ่งที่เรามองเห็นว่าเที่ยง แต่ความจริงคือ เราไม่รู้ว่ากำลังเกิดดับ จนกว่าจะเหี่ยว จนกว่าจะหลุด แต่กว่าจะถึงอันนั้น จะต้องมีการเกิดดับ
ผู้ฟัง เราไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง เพราะว่าต้องเป็นปัญญาระดับที่สามารถจะประจักษ์ได้
ผู้ฟัง สภาพเกิดดับมันเร็วมากเลย
ท่านอาจารย์ แน่นอน
ผู้ฟัง มันเร็ว อาจจะเป็นเสี้ยวของวินาที มันเกิดขึ้นดับลงเร็วมากจนเราไม่รู้สึกว่ามันเกิดดับ แล้วที่เราเห็นก็เป็น Concept ใช่ไหมครับ ว่าเป็นรูป
ท่านอาจารย์ มี ๒ อย่าง ขณะใดที่จิตไม่ได้รู้ปรมัตถธรรม ขณะนั้นรู้บัญญัติ คือเรื่องราวของปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น อย่างที่ทรงแสดงไว้ จิตเห็นมี กำลังเห็น จิตได้ยินมี กำลังได้ยิน เหมือนพร้อมกัน คือ ขณะที่ได้ยินก็ไม่ใช่ว่าเห็นดับไป ให้เราประจักษ์จริงๆ ว่า กำลังเกิดดับ หรือดับไปแล้ว เพราะการเกิดดับสืบต่อสลับเร็วมาก แต่ว่าระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยิน เกินกว่าจิต ๑๗ ดวง ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น ลองคิดถึงความดับอย่างเร็วของรูปว่า เราจะเอาอะไรมาอธิบาย ว่าเร็วขนาดไหน เพราะว่าจิตเห็น จิตได้ยินเหมือนพร้อมกัน แต่ไม่พร้อม เพราะฉะนั้น รูปที่เกิดพร้อมจิตเห็น ยังไม่ทันถึงจิตได้ยิน แต่ปรากฏเหมือนกับว่าทั้งเห็น ทั้งได้ยิน
ผู้ฟัง แสดงว่าเราอยู่ในลักษณะของวิปลาส เราไม่เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มากมายมหาศาลขนาดไหน แล้วก็ค่อยๆ ได้ยินได้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ รู้ จนกว่าสังขารขันธ์จะปรุงแต่งให้เป็นปัญญา แต่ละขั้น พร้อมสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมนั้น ถ้าอย่างนั้นเราจะไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ท่านก็ไม่รู้ว่าจิตอันนี้นี้เกิดดับ เหมือนอย่างเราไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต่างกันเลย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับเรา เราเห็นอย่างไร ท่านก็เห็นอย่างนั้น แต่นี่ไม่ใช่เลย การตรัสรู้ ตรัสรู้ด้วยปัญญาที่สามารถประจักษ์ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรม ซึ่งถ้าเราอบรมเจริญปัญญาจริงๆ เราประจักษ์อย่างนั้นได้แน่นอน เพราะว่าผู้ที่เป็นสาวก ผู้ฟัง ผู้ที่อบรมบารมีมาแล้ว ถึงความเป็นพระอรหันต์ก็มาก พระสกทาคามี พระอนาคามี พระโสดาบันมากมาย เรากำลังอยู่ในช่วงไหน ตอนไหน ช่วงของภาวนา คือ การอบรม ถ้าไม่มีการฟังวันนี้ ไม่มีความเข้าใจวันนี้ จะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นได้ไหม
เพราะฉะนั้น สวนะที่เป็นอนุตริยะ คือการฟังสิ่งที่เรายังไม่เคยรู้ ให้มีความรู้ขึ้น แล้วความรู้ที่เป็นความรู้อย่างนี้ ถ้าเราไม่ทอดทิ้ง ก็จะค่อยๆ เจริญจากการพิจารณา จากการอบรม เพราะว่าเรารู้ว่า เป็นสิ่งที่จริง จริงอย่างไร จริงตั้งแต่บอกว่าสิ่งที่มีจริงมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือ นามธรรมกับรูปธรรม จริงไปเป็นขั้นตอนตามลำดับทั้งหมด เมื่อประจักษ์อย่างไร ตรัสรู้อย่างไร ก็ทรงแสดงอย่างนั้น