สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๐
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๐
ผู้ฟัง ขอโทษ อาจารย์ อย่างที่อาจารย์บอกว่า รูปธรรมนามธรรม ถ้าเราพิจารณาแล้ว เราเข้าใจแล้วก็จะรู้ว่า ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา แต่รู้สึกว่าทำใจยากเหมือนกัน
ท่านอาจารย์ ถ้าทำใจ เป็นปัญญาหรือเปล่า
ผู้ฟัง ถ้าทำใจไม่เป็นปัญญา ต้องเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทำใจไม่ได้ ไม่สามารถที่จะละกิเลสได้ ไปนั่งทำอย่างไร จิตก็เกิดเพราะเหตุปัจจัยอยู่เรื่อยๆ ต้องเข้าใจสภาพธรรมที่มีอยู่ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ จึงจะเห็นว่า ไม่ใช่เรา แล้วไม่มีใครทำ เพราะเป็นอนัตตา จิตเห็น ใครทำ เวลานี้ จิตได้ยินเวลานี้ใครทำ มีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น
ผู้ฟัง อาจารย์กรุณาอธิบายจิต และเจตสิกมีหน้าที่อย่างไร และเกี่ยวพันธ์กันอย่างไร ทำไมถึงแยกกันเกิดไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องทุกคนไม่อยากจะถึงนิพพาน เพราะเหตุว่าตามความเป็นจริง ถ้าคิดอย่างที่คุณสุริยงค์คิด คือไม่ถึงนิพพาน แล้วก็ไม่มีอะไรเลย หมดจากโลกนี้ไปเลย ไม่มีการเกิดขึ้นอีกเลย คนที่ยังมีกิเลสก็กลัว เพราะว่ายังมีความเป็นตัวตนอยู่ เพราะฉะนั้น ทุกคนไม่อยากตาย กลัวตาย แล้วนอกจากนั้นคือว่ารู้ว่า ตายแล้วเกิดก็ดี แต่ก็ยังไม่อยากจะหมดสิ้นการตาย คือไม่อยากถึงนิพพาน นั้นพวกหนึ่ง พวกหนึ่งพอได้ยินชื่อนิพพาน ไม่รู้อะไรก็อยาก อยากถึง มีไหมอย่างนี้ มีตั้งหลายคน บางคนก็บอกว่า ขอให้ถึงนิพพานเถิด ไม่รู้อะไรก็เอา นั่นก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้มีเหตุผลเลย แต่ตามความเป็นจริง เรายังไม่ต้องคิดถึงเรื่องนิพพานเลย เพราะเหตุว่าขณะนี้เราต้องรู้จักสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงเสียก่อน เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ที่เป็นปรมัตถธรรม คือ เป็นธรรมที่มีจริง แม้ว่าเราไม่เรียกชื่ออะไรเลย เพราะไม่มีใครจะสามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ได้
สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ในขณะนี้มี ๓ อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป ปรมัตถธรรมทั้งหมดมี ๔ อย่างแล้วที่ ๔ คือนิพพาน แต่ว่าขณะนี้มีแต่เพียงจิต เจตสิก รูป ถ้าเราสามารถจะเข้าใจลักษณะของปรมัตถธรรมว่า เป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่เรา นั่นคือความเห็นถูก เพราะว่าถ้าไม่มีการตรัสรู้ ก็มีความเห็นว่า เป็นเราตลอด แต่ว่าเมื่อมีการตรัสรู้แล้วมีการฟังพระธรรม ก็มีการที่จะค่อยๆ เริ่มเข้าใจขึ้นว่า คำสอนของพระพุทธศาสนาไม่ใช่การนึกเดา คาดคะเน ประมวลเอา แต่ต้องมาจากการทรงสามารถที่จะตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ได้ตามความเป็นจริง ซึ่งทรงแสดงไว้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เราก็มีความละเอียดที่จะเข้าใจแม้แต่คำว่าธรรม อย่าเพิ่งคิดว่า เรารู้แล้ว ที่เข้าใจคือธรรมเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทรงสอนเรื่องธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมก็คือสิ่งซึ่งมีจริงๆ ไม่ได้อยู่กับว่าใครจะรู้หรือไม่รู้ ใครจะเห็นหรือไม่เห็น สภาพธรรมเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้นตามลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ จะเรียกชื่อธรรมว่าอะไรก็ได้ ไม่เป็นอะไรเลย แต่ขอให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ที่ทรงแสดงไว้เป็นภาษาบาลี เป็นคำที่กระชับความหมาย ซึ่งถ้าเราถ่ายทอดเป็นภาษาอื่นก็ยากที่จะหาคำที่จะตรงกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องอธิบาย แม้แต่เป็นภาษาไทยเราเอง อย่างคำว่า จิต ทุกคนถ้าถามเด็กๆ ถามว่าหนูมีจิตไหม ก็จะตอบว่าอย่างไร มีหรือไม่มี มี แต่ไม่รู้ว่า จิตอยู่ที่ไหน จิตเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่มี แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงเรื่องของจิตโดยละเอียดยิบ เพราะเหตุว่าทรงแสดงว่า สภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิด จะเกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้เลย แม้แต่จิต ซึ่งจิตไม่มีใครสามารถจะมองเห็นได้ รู้ว่ามี แต่มองไม่เห็น จิตก็ไม่มีเสียง ที่จะบอกว่าฉันคือจิต หรืออะไรอย่างนั้น ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีความเย็น ความร้อนใดๆ
ถ้าเราตัดสีออกจากโลกนี้หมด เสียงออกจากโลกนี้หมด กลิ่นออกจากโลกนี้หมด ไม่มีรสใดๆ ไม่มีเย็นร้อนอ่อนแข็งใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าจิตเกิด จิตต้องเป็นธาตุรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ แม้ว่าจะไม่ใช่รูป เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง เพราะเหตุว่าถ้าเราพูดถึงคำว่า ธาตุหรือธรรม ก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่า ไม่ใช่คนหนึ่งคนใด ไม่ใช่ของใคร แต่เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วสิ่งที่มีจริงมีลักษณะแสดงให้เห็นว่า มีจริงๆ ไมใช่ว่าเราไปบอกว่าสิ่งนี้มี แต่ไม่มีลักษณะแสดงให้เรารู้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมดแต่ละอย่างมีลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้นๆ ที่จะปรากฏให้รู้ได้ แม้แต่จิตซึ่งเป็นนามธรรม ถ้าใช้คำว่า “นามธรรม” ก็หมายความถึง เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ จึงเป็นนามธรรม แต่ถ้าเป็นรูปธรรมแล้ว เกิดขึ้นก็จริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ทุกอย่างที่ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้น จิตเป็นนามธรรม เพราะเหตุว่าทันทีที่จิตเกิดต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด