ศึกษาเพื่อให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง ถ้าอย่างในภพหนึ่ง เรามีสิ่งที่สะสมมาในอดีตมาให้ผล ก็ทำให้เรา มีโทสะ มีโลภะ มีหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง แต่ว่าพอเราจากภพนี้ไป เปลี่ยนเป็นภพใหม่ เราก็มีต่อๆ ไปเรื่อยอย่างนี้หรือ
ท่านอาจารย์ ไม่อย่างนั้นปัญญาของพระโพธิสัตว์ จะสะสมจนกระทั่งถึงการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ ใช่ไหม นั่นทางฝ่ายกุศล เพราะฉะนั้นทางฝ่ายอกุศลก็เหมือนกัน ไม่ได้หายไปไหนเลย จิตเป็นนามธรรม ไม่มีใครมองเห็น แต่มี เกิดขึ้นทำกิจการงานต่างๆ เป็นธาตุที่รู้ ที่เห็น ที่คิด ที่นึก ที่จำ นั่นเป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกันกับจิต ไม่มีจิตสักขณะเดียวซึ่งเกิดโดยไม่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย และเจตสิกก็จะไปเกิดกับสภาพอื่นก็ไม่ได้นอกจากจิต และเมื่อจิต เจตสิกเกิดแล้วดับไป ถ้าเป็ประเภทที่เป็นกุศล อกุศล นี่พูดเฉพาะกุศล อกุศล ดับไปแล้วก็จริงแต่ก็สืบต่อ สะสม นอนเนื่องอยู่ในจิตขณะต่อๆ ไป จนกว่าโลกุตตรจิตเกิดเมื่อไหร่ก็สามารถที่จะดับอนุสัยประเภทนั้นๆ ตามควรแก่โลกุตตรจิต เช่นโสตาปัตติมรรคจิตเกิดขึ้น ก็ดับทิฏฐานุสัยกับวิจิกิจฉานุสัย ความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรม ความที่ยึดถือสภาพธรรมด้วยความเห็นผิดต่างๆ ก็ดับหมด เพราะฉะนั้นอนุสัยนี่สามารถที่จะดับได้ แต่ต้องด้วยโลกุตตรปัญญา
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม เพื่อให้เข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีเรา โดยรู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง ก็ยังคงเป็นเราอยู่ อาจจะเป็นคนที่พยายามทำ เพื่อที่จะให้รู้สภาพธรรมนั้นๆ แต่ด้วยความไม่รู้ว่า พยายามได้อย่างไรที่จะทำอะไร ในเมื่อมีสภาพธรรมเกิดแล้ว ปรากฏแล้ว ทุกขณะ เพราะฉะนั้นก็อบรมเจริญความเห็นถูก ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ โดยขั้นการฟัง และก็พิจารณา เห็นว่าถูกต้องตามสิ่งที่ได้ฟังกับความเป็นจริงของสภาพธรรมไหม ถ้าถูกต้อง ขณะนั้นก็เป็นความเห็นถูก ที่สะสมความรู้ลักษณะของสภาพธรรมว่า ไม่ใช่เรา จนกว่าจะถึงกาลที่ปัญญาสมบูรณ์ ประจักษ์แจ้งอริยสัจจ์ ๔ เมื่อนั้นก็จะดับกิเลสได้เป็นลำดับ
ที่มา ...