สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๓
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๓
ผู้ฟัง อาจารย์คะ เรามีความจำเป็นที่เราจะต้องวิปัสสนา ไม่เคยวิปัสสนาเลย แต่ว่าเคยถามว่า คนเรานี้ถ้าวิปัสสนาช่วยให้สงบ ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ก่อนที่ทำอะไรทั้งหมด ควรเข้าใจหรือไม่เข้าใจ แล้วทำ
ผู้ฟัง ควรจะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ควรจะเข้าใจ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะทำวิปัสสนา ต้องทราบว่าวิปัสสนาคืออะไร แล้วทำได้หรือเปล่า
ผู้ฟัง ยังไม่เคยทำ
ท่านอาจารย์ ถ้ายังไม่รู้ว่า วิปัสสนาคืออะไร ก็ไม่ต้องทำ ต้องเข้าใจ ต้องรู้ก่อน ต้องเข้าใจถูก ไม่อย่างนั้นไม่ใช่วิปัสสนา ก็คิดว่าเป็นวิปัสสนา เพราะเขาบอกว่าวิปัสสนา โดยเราไม่รู้ว่าเป็นวิปัสสนา
ผู้ฟัง ...
ท่านอาจารย์ เคยฟังไหม แล้วจิตสงบหรือเปล่า เพราะเป็นใจของเราเองว่า เวลาที่เราฟังพระเทศน์ จิตเราสงบหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ถ้าตอนจะตายนิมนต์พระมา แล้วจิตเราจะสงบหรือเปล่า
ผู้ฟัง แล้วแต่คน
ท่านอาจารย์ แล้วแต่เหตุปัจจัย
ผู้ฟัง แล้วจะไปสวรรค์ได้หรือคะ คนตาย
ท่านอาจารย์ ถ้าจิตเศร้าหมองใจเป็นอกุศล ไม่ไปสวรรค์แน่นอน
ผู้ฟัง อย่างนั้นก็เป็นความเชื่อที่ผิด
ท่านอาจารย์ ไม่ค่ะ เป็นคำสอนที่ต้องการคำอธิบายให้ชัดเจน เพราะว่าเท่าที่เราได้ฟังธรรมมา เราฟังเผินๆ ทั้งหมด เรายังไม่ได้ไตร่ตรองให้ละเอียดจริงๆ ว่า ได้แก่อะไร คืออะไร เป็นอย่างไร แม้แต่คำว่า “วิปัสสนา” เราก็ยังไม่ทันรู้อะไรแล้วเราก็จะไปทำ
ผู้ฟัง แล้วทำไมเรานิมนต์พระมาเทศน์ ...
ท่านอาจารย์ ท่านเทศน์ว่าอย่างไรคะ
ผู้ฟัง ... ทำจิตใจให้สงบ บอกทาง
ท่านอาจารย์ บอกได้ แต่ใจจะสงบหรือเปล่า ไม่สามารถจะรู้ได้ เหมือนกับเวลานี้ ถ้าเราเห็นพระพุทธรูป ใจของเราเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น ก็เหมือนเวลามีพระไป แล้วแต่ใจ แล้วอีกอย่าง คือ แน่นอนที่สุด ขึ้นอยู่กับกรรมใดจะเป็นชนกกรรม กรรมมีเยอะ กรรมบางกรรมไม่เป็นชนกกรรม คือ ไม่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด แต่ตามอุปถัมภ์เมื่อเกิดแล้วได้ อย่างสุนัขน่ารัก สบายกว่าคนหลายคน มีอาหารทุกมื้อ อุปถัมภกกรรม ไม่ใช่ชนกกรรม ชนกกรรมเป็นอกุศลทำให้เกิดเป็นสัตว์ แต่ว่าเป็นสัตว์ที่สบาย เวลาที่คนเกิด การเกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรม แต่บางครั้งเราก็ลำบาก บางครั้งก็เจ็บปวด เป็นโรคภัยต่างๆ ถ้าไม่มีกรรมที่จะทำให้จิตประเภทนั้นเกิดขึ้น มีความรู้สึกเป็นทุกข์ที่กาย ทุกข์ที่กายก็เกิดไม่ได้ เพราะว่ากรรมไม่ได้เพียงแต่ทำให้จิต เจตสิกเกิด กรรมยังทำให้เกิดรูป ซึ่งเป็นทางรับผลของกรรมด้วย อย่างกรรมทำให้จักขุปสาทเกิดสำหรับเห็น นี่คือผลของกรรม ขณะใดที่เป็นผลของกรรมก็คือว่า ไม่ใช่เกิดมาเปล่าๆ เกิดมาต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ตามกรรม ดิฉันมีแผลเล็กๆ ไม่รู้มาได้อย่างไร ไม่ได้ทันสังเกตด้วยซ้ำไป เห็นไหมคะ เราไม่ได้ทำเลย นึกไม่ออกว่า ไปทำอะไรตรงไหน แต่ก็มีรอยข่วน หรืออะไรอย่างนี้ ถ้าไม่มีเหตุ ผลอย่างนี้ก็ไม่มี โดยที่เราไม่ได้ไปจงใจหรือไปทำเลย
เพราะฉะนั้น ต้องทราบค่ะ เวลาพูดถึงกรรมกับผลของกรรมต้องให้ชัดเจน ว่าเป็นจิต เจตสิก เพราะฉะนั้น จิต เจตสิก มี ๔ ชาติ อันนี้ควรจะทราบด้วย ชาติ คือการเกิดขึ้น เป็นอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๔ อย่าง คือ เป็นกุศล ๑ หรือเป็นอกุศล ๑ เป็นเหตุทั้ง ๒ หรือเป็นวิบาก คือเป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ๑ แล้วก็ไม่ใช่ทั้งเหตุ และผล คือไม่ใช่ทั้งกุศล อกุศล และวิบาก แต่เป็นกิริยาจิต
ผู้ฟัง ขอเรียนอาจารย์ สมัยก่อนผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า สมัยก่อนเข้าใจว่าวิบากเป็นผลของกรรม
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะเหตุว่ากรรมมี ๒ กรรมมีกุศลกรรม เพราะฉะนั้นกุศลกรรมก็เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบากจิต ถ้าเป็นอกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดอกุศลวิบากจิต คือ วิบากจิตที่เป็นผลของอกุศล
ผู้ฟัง ... สิ่งที่ทำให้เกิดความพอใจ
ท่านอาจารย์ ที่จริงแล้ว ทราบไหมว่า มนต์หรือคาถาที่เป็นภาษาบาลีที่เราไม่รู้คำแปล จริงๆ แล้วเป็นอะไร อย่าง อิติปิโสภกควา อรหังสัมมาสัมพุทโธ พวกนี้ เป็นคำสรรเสริญพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับผู้ที่รู้พระคุณ แม้เพราะเหตุนี้ อิติปิโส ภควา ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เพราะเหตุที่ทรงประจักษ์แจ้งลักษณะสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูป และทรงแสดงโดยละเอียดให้คนอื่นสามารถรู้ได้ แม้เพราะเหตุนี้พระองค์ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้รู้ ผู้ที่เข้าใจ มิฉะนั้นเราก็เหมือนกับนก ก็มีจิตศรัทธา แต่ว่าไม่ประกอบด้วยปัญญา ต้องเป็นปัญญาที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นการอบรมเจริญวิปัสสนา วิปัสสนาหมายความว่า รู้แจ้งในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น เป็นปัญญาซึ่งต้องอาศัยการฟังตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะถ้าไม่มีวันนี้ ปัญญาวันหลังๆ ก็มีไม่ได้ ไปตั้งต้นวันไหน ก็คือวันนั้นแหละ นี้เป็นจิรกาลภาวนา ข้อความมีในพระไตรปิฎก เพราะเหตุว่าภาวนา หมายความถึงการอบรมเจริญในสิ่งที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ในสิ่งที่มีให้เจริญขึ้น เพราะว่าการที่เราจะเปลี่ยนเราซึ่งมีอกุศลมากมาย ให้เป็นคนที่หมดจดจากกิเลส ใช้เวลานานหรือเปล่า หรือว่านั่งแป๊บเดียว แล้วก็ ๒ วัน ๓ วัน ก็เป็นวิปัสสนา
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องเป็นปัญญาจริงๆ แล้วก็ต้องรู้ความจริง กว่าจะเป็นเราคนนี้ มีอัธยาศัยอย่างนี้ ทั้งดี ทั้งชั่ว มากบ้างน้อยบ้างต่างกัน ในแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมา ก็มีการเห็น การเห็นเหมือนอย่างนี้ เห็นที่ไหน เห็นเมื่อไร บนสวรรค์ ในพรหมโลก หรือว่าสัตว์ หรือว่าภพไหนชาติไหน เห็นก็คือเห็น เห็นอย่างเดียว เห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ได้ยินก็ได้ยินอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ก็คือว่าเมื่อเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ต่างจิตต่างใจ ตามการสะสม บางคนเห็นแล้ว ไม่น่าจะโกรธก็โกรธ ไม่น่าจะเกลียดก็เกลียด ควรจะมีเมตตาก็เมตตาไม่ได้ หรืออะไรอย่างนั้น
นี่แสดงให้เห็นถึงการสะสมสภาพของธรรมที่มีอยู่ในจิตแต่ละขณะว่า ทันที่ที่จิตขณะหนึ่งดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด เพราะฉะนั้น ก็สะสมสืบทอดทุกอย่างจากจิตขณะก่อนไปสู่จิตขณะต่อไป เพราะฉะนั้น แต่ละคนมีจิตคนละ ๑ ขณะ ตามการสะสม ดีชั่วแล้วแต่ ต่างคนก็ต่างรู้ว่า มีความไม่รู้แค่ไหน มีสติปัญญาแค่ไหน มีริษยาแค่ไหน มีความตระหนี่แค่ไหน ซึ่งเป็นการสะสมไปเรื่อยๆ หรือว่าแม้แต่ทางโลก มีความสามารถในการเล่นดนตรี การคำนวณ ภาษาต่างๆ หรือว่าในศาสตร์ต่างๆ ก็ตามการสะสม ซึ่งทุกอย่างไม่สูญหาย แต่ต้องแยกประเภทว่า จิตที่เป็นวิบาก ไม่ใช่จิตที่เป็นกุศลหรืออกุศลที่จะสะสม เพียงแต่เป็นจิตที่ต้องเกิดเพราะกรรมที่ทำแล้ว อย่างเวลาที่นอนหลับสนิท ก็เป็นวิบาก ให้หลับ ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน จะยาว จะสั้น เพราะว่าเราบังคับให้ตื่นก็ไม่ได้ บังคับให้หลับก็ไม่ได้ แต่ทุกคนต้องตื่น เพราะว่ามีกรรมที่จะทำให้เห็น มีกรรมที่จะทำให้ได้ยิน แล้วก็ระหว่างที่วาระหนึ่งที่เห็นดับ ภวังคจิตเกิดคั่น นี่เร็วมาก ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ ก็ไม่ทราบ เพราะคิดว่าเห็นตลอดเวลา
เรื่องของจิตก็เป็นเรื่องที่ละเอียด แล้วก็เจตสิกก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต แต่ว่าทำหน้าที่ต่างกันเป็นแต่ละเหตุ