สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๔


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๔


    ผู้ฟัง เมื่อกี้อาจารย์พูดถึงเรื่องจิตตชรูป จิตตชรูปเกิดกับอุปาทขณะของจิต ทุกครั้ง เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง อันนี้ยังงงอยู่ ยังมองเห็นจิตตชรูปไม่ชัดเจน

    ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหมดที่ได้ฟัง ไม่ใช่ทุกคนจะรู้อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง จะมีความรู้ความเข้าใจตามความสามารถของแต่ละบุคคล อย่างวันนี้เราฟังเรื่องจิต เรื่องเจตสิก รู้ความต่างของจิตกับเจตสิกขั้นฟัง ทั้งๆ ที่จิตก็ไม่ใช่เจตสิก ฟังเข้าใจ แต่ไม่สามารถจะแยกลักษณะที่ต่างกันของจิต เจตสิกได้

    เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงด้วยพระปัญญา ทำให้เราสามารถที่จะรู้ได้ว่า สภาพความจริงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า อย่างภวังคจิตมีไหม ปฏิสนธิจิต เดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง หมดไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ค่ะ อันนี้ก็ต้องระวัง เพราะบางทีอาจจะถามแทรกนิดๆ หน่อยๆ จุติจิตมีหรือยังคะ

    ผู้ฟัง ยังไม่ถึง

    ท่านอาจารย์ ยัง นี่ก็เป็นของที่แน่นอนว่า เราเข้าใจแล้วในเรื่องของจิต ๓ ประเภท คือ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิตว่า เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมเดียว ส่วนจิตเห็น จิตได้ยินก็เป็นวิบาก แต่อาจจะเป็นผลของกรรมเดียวกันนั้น หรืออาจจะเป็นผลของกรรมอื่นก็ได้ เพราะว่ากรรมอื่นที่ไม่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดก็ยังเป็นกรรมที่อุปถัมภ์ หรือว่าเบียดเบียน หรือตัดรอนได้ หลายกิจทำหน้าที่เกิด อุปถัมภ์ก็ได้ เบียดเบียนก็ได้ ตัดรอนก็ได้

    สำหรับจิตตชรูป เราสามารถจะรู้ได้เวลาที่พูด ถ้าไม่มีจิตที่จะพูด ก็คงไม่มีรูปที่กระทบฐานของเสียง แต่พอเกิดมาเราก็พูด เราไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นมีรูปซึ่งเกิดเพราะความคิดนึก เพราะฉะนั้น วาจาหรือวจีสังขาร บางครั้งทรงแสดงไว้ว่า ได้แก่ วิตก วิจารเจตสิก เป็นสภาพที่คิด เพราะจิตเห็นไม่ได้คิด ทำให้วจีวิญญัติรูปเกิดไม่ได้ ไม่ทำให้รูปกระทบฐานเสียง ขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน แต่ขณะที่คิดนึก ลองคิดดู บางทีเราคิดในใจ มีเสียงไหม ไม่มี แต่เวลาที่เราไม่ได้คิดนึกในใจ ก็มี เพราะฉะนั้น เวลาใดที่ต้องการที่จะเปล่งวาจาให้คนอื่นรู้หรือเข้าใจ ก็มีวจีวิญญัติรูป เป็นรูปที่เกิดเพราะจิต พร้อมจิต แล้วกระทบฐานของเสียงทำให้เสียงเกิดขึ้น แต่บางครั้งไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เกิดเสียง แต่พอนึก พูดแล้ว มีไหมคะ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า สภาพความรวดเร็วของจิต แม้ว่าเราไม่ได้อยากจะพูดเลย เพียงคิดก็มีคำออกมาเสียแล้ว แต่ว่าบางครั้งคิด แต่ก็ยังไม่พูดก็มี นี่ก็แสดงให้เห็นความหลากหลายว่า สภาพธรรม แล้วแต่เหตุปัจจัยจริงๆ ว่า จะเกิดเป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง เมื่อกี้นี้อาจารย์บอกว่า จิตที่จะเกิด ที่จะไปเกิดเป็นปฏิสนธิในชาติต่อไปจะเกิดเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ว่ากุศลหรืออกุศล ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดขึ้นขณะ ๑ ขณะเดียวแล้วดับ หน้าที่ไหนก็หน้าที่นั้นแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น จุติจิตเป็นจิตขณะสุดท้ายที่เกิดขึ้นทำกิจอะไรคะ จุติจิต ทำกิจเคลื่อนพ้น สภาพจากความเป็นบุคคลนี้ ภวังคกิจไม่ได้ทำกิจให้เราพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้เลย แต่รักษาความเป็นบุคคลนี้ไว้ จึงเป็นภวังคกิจ ภว กับ อังค องค์ของภพ ดำรงภพชาติอยู่ แต่ว่าพอพูดถึงจุติจิต ไม่ใช่ภวังคกิจ เพราะว่าเราหมายความถึงจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จิตทุกขณะเกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย เกิดเพราะเหตุปัจจัยไหนแล้วก็ดับ แล้วถ้าจะเกิดอีกก็เพราะปัจจัยอื่น อย่างโสตปสาท รูปหู ที่สามารถไปกระทบเสียง เกิดขึ้นเพราะกรรม มีอายุ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น เวลาที่เสียงกระทบแล้วทำให้มีการได้ยิน ต้องขณะที่โสตปสาทรูปยังไม่ดับ แล้วก็เสียงยังไม่ดับด้วย จึงเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียงนั้น ถ้าโสตปสาทรูปดับแล้ว เสียงดับแล้ว ก็ไม่เป็นปัจจัยที่จะให้จิตเกิดได้ยิน

    เพราะฉะนั้น นามธรรมใด รูปธรรมใดก็ตามที่เกิดแล้วดับ ไม่ใช่นามธรรมนั้นกลับมาอีก หรือกลับมาเกิดใหม่ หรือว่าทำหน้าที่ใหม่ ดับแล้วดับเลย เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตไม่ใช่จุติจิต


    หมายเลข 9317
    21 ส.ค. 2567