กุศล คืออะไร อยู่ที่ไหน


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๕


    ท่านอาจารย์ เรื่องกุศล ยังไม่จบว่า คืออะไร อยู่ที่ไหน แต่ก็คือจิตที่ดีงาม ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะในเรื่องทาน การให้ เพราะฉะนั้น เราไม่ควรจะมุ่งเฉพาะว่าการให้เป็นกุศล แต่อย่างอื่นก็เป็นกุศลด้วย อย่างเรื่องของการให้ นอกจากว่าเราจะไม่ให้เอง เพียงแต่เห็นคนอื่นให้แล้วจิตของเราเป็นกุศล ยินดีด้วยที่เขาทำกุศลนั้นๆ ขณะนั้นก็เป็นกุศล นางวิสาขามิคารมาตามีเพื่อนซึ่งมีกุศลจิตที่อนุโมทนา ตอนนี้เพื่อนของนางวิสาขาผลของกรรมนั้นก็อยู่บนสวรรค์ แล้วกุศลใดๆ ที่ทำไปแล้ว ก็ยังสามารถที่จะอุทิศให้ผู้ที่สามารถจะรู้ และอนุโมทนา ถ้าเขาสิ้นชีวิตแล้ว เขาซึ่งเป็นญาติในอดีตเห็นเรา ยังมีการระลึกถึงความเป็นมิตร ความเป็นผู้มีอุปการคุณ เขาก็จะต้องมีจิตปลาบปลื้มแน่นอน ที่นอกจากเราจะทำดีแล้ว เรายังคิดถึงเขา ยังอุทิศส่วนกุศลนั้นให้เขาได้อนุโมทนาด้วย ถ้าเขาอนุโมทนา จิตเป็นกุศล ถ้าเขาไม่อนุโมทนา ช่วยไม่ได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่าอย่างญาติตาย เราทำบุญแล้วก็อุทิศส่วนกุศล แล้วเขาจะได้รับสิ่งที่เราให้ ไม่ใช่อย่างนั้น อยู่ในภพไหน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็เหมาะควรแก่ภพนั้น ไม่ใช่ว่าเรารับประทานสังขยา แล้วเขาก็ได้สังขยาถ้าเขาไปเกิด เขาไม่ต้องการสังขยาบนสวรรค์ เพียงแต่เขาอนุโมทนา จิตเขาเป็นกุศล ก็เป็นเหตุคือเป็นกรรมซึ่งสืบต่อในจิตแต่ละขณะ เมื่อพร้อมที่จะให้เกิดผลเมื่อไร วิบากจิตก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น นี่คือกรรมปัจจัย

    ผู้ฟัง แล้วถ้าเผื่อทำนองที่ว่า เรารู้ว่าศึกษาธรรมบ่อยๆ ดี แล้วเราก็อยากจะให้เพื่อนเรามาฟังมาศึกษา แต่ด้วยความอยาก ความอยากคืออกุศล แล้วความอยากที่จะให้เพื่อนมา แต่เพื่อนไม่มาเราก็ ... อย่างโน้นอย่างนี้ แล้วจิตใจเราไม่สบาย ทั้งที่รู้ว่าของดี เพื่อนไม่รับ อันนี้ ...

    ท่านอาจารย์ วิธีที่จะรู้ว่า จิตของเราเป็นกุศลหรือไม่เป็นกุศล กุศลไม่นำมาซึ่งความทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่อกุศล แม้ว่าเรามองดูในรูปลักษณ์ที่เหมือนกุศล แต่ถ้านำความทุกข์มาให้ ขณะที่เป็นอกุศลต้องเป็นไป ต้องแยกขาดออกจากกัน ขณะที่เรามีความหวังดีอยากจะให้คนอื่นได้ศึกษาได้เข้าใจธรรม ขณะนั้นไม่ใช่โลภะ เป็นความหวังดี แต่ตอนที่อยากให้เขาเป็นอย่างเราต้องการ ขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะว่าพอเขาไม่เป็น เราผิดหวัง

    ผู้ฟัง คนละขณะกัน

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ต่างกันเลย เพราะฉะนั้น โลภะกับกุศลหรือศรัทธา บางครั้งก็มีลักษณะที่คล้ายกันมาก ถ้าเราไม่ศึกษาหรือว่าไม่สังเกตดีๆ จะไม่รู้ได้เลยว่า จริงๆ แล้วเป็นโลภะหรือเปล่า เรามีลูกหลาน ญาติ มิตรสหาย เรารัก ขณะที่รัก อดรักไม่ได้ แมว หมาน่ารักหมด นก หนู ปู ปลาก็แล้วแต่ ถ้าเกิดความติดข้อง ชอบ พอใจก็คือความรัก เพราะฉะนั้น ขณะนั้นลูกจะรักพ่อแม่ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล พ่อแม่รักลูกเป็นกุศลหรืออกุศล เป็นอกุศลค่ะ อกุศลต้องเป็นอกุศล ไม่มีคำว่าพ่อ แม่ ลูก สภาพจิตเกิดขึ้นติดข้องเป็นลักษณะของจิตที่เป็นอกุศล แต่ถ้าคิดถึงคุณของพ่อแม่ บูชาในคุณความดีของพ่อแม่ เคารพในคุณความดีของพ่อแม่ เชื่อฟังพ่อแม่ในทางที่ถูกต้อง ปฏิบัติตามคำสอน หรือช่วยเหลือ ทั้งหมดเป็นกุศล แต่ว่าถ้าเป็นความรักความผูกพันขนาดไหนเป็นอกุศลทันที เปลี่ยนไม่ได้ เราก็รู้ต้องมี คนที่ไม่มี คือ พระอรหันต์ นอกจากจะเป็นพระอรหันต์ที่ไม่มีโลภะเลย พระอนาคามีท่านไม่มีโลภะที่ติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ

    เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องตรง พระโสดาบันแม้ว่าจะประจักษ์อริยสัจธรรม ดับความเห็นผิดที่ไม่เคยรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม แต่ยังไม่ได้ดับโลภะ โทสะโมหะ เพราะฉะนั้น พระโสดาบันท่านไม่เข้าใจผิดว่า ท่านเป็นพระสกทาคามี หรือเป็นพระอนาคามี หรือเป็นพระอรหันต์ ธรรมเป็นเรื่องที่ตรง เป็นเรื่องที่อาจหาญ ร่าเริง คือเป็นผู้ที่รับความจริง ความจริงเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น และพร้อมกันนั้นก็มีปัญญาที่จะรู้ด้วยว่า ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง พระอนาคามียังติดในธัมมารมณ์

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ


    หมายเลข 9318
    21 ส.ค. 2567