ทำไมคนสมัยก่อนฟังแล้วบรรลุ เรายิ่งฟังบางทีก็ยิ่ง งง


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๗


    ผู้ฟัง แล้วทำไมจึงต่างกันเยอะระหว่างสมัยโน้นกับสมัยนี้ว่า ทำไมคนสมัยก่อนฟังแล้วบรรลุ แล้วพวกเรายิ่งฟังบางทีก็ยิ่งงง ทำไมเป็นอย่างนั้นคะ

    ท่านอาจารย์ สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เพื่อทำอะไร ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ประสูติเพื่อเป็นกาลสมัยที่มีคนที่มีปัญญาพร้อมที่จะรับฟังพระธรรม แล้วก็สามารถที่จะโปรดเกื้อกูลด้วยพระธรรมเทศนา พระปัจเจกพุทธเจ้าในสมัยซึ่งคนก็ ไม่ได้ยินได้ฟังธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย อันตรธานไปหมด แต่เพราะการที่เคยฟัง เคยเข้าใจ ไม่สูญหายเลย แม้ไม่มีคำสอน ก็สามารถจะรู้แจ้งธรรม แต่ด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ใช่ถึงระดับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้แสดงธรรมอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเป็นสมัยซึ่งยุคสมัยนั้นคนก็ไม่พร้อม พอมาถึงสมัยหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ก็ยังมีพระอริยบุคคลที่ประกอบด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ หรือว่าปฏิสัมภิทา เป็นผู้ที่รู้ภาษาต่างๆ ที่สามารถที่จะเผยแพร่เข้าใจได้ แล้วก็พันปีต่อมามีพระอรหันต์ซึ่งไม่มีปฏิสัมภิทา อภิญญาต่างๆ สมัยต่อไปก็จะเหลือแต่พระอนาคามีบุคคล คือ ค่อยๆ ลดไป ซึ่งเราไม่ต้องคิดว่าจะถึงเมื่อไร เพราะเราไม่คอยถึงเวลานั้น เราต้องตายก่อน แต่ว่าเราทราบได้ว่า ศาสนาคือคำสอนจะดำรงอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มีการศึกษา เพราะว่าเป็นคำสอน เพราะฉะนั้น ต้องมีคนฟังหรือคนศึกษา มีคนเข้าใจจึงจะรักษาคำสอนนั้นแล้วสืบต่อๆ กันไปได้ แต่ถ้าขณะใดที่ไม่มีการศึกษา ไม่มีการเข้าใจธรรม ก็เหมือนหนังสือโบราณ เอามาดูก็ไม่รู้เรื่อง พูดว่าอะไร อ่านออก ทุกตัวหนังสืออ่านออก แต่ไม่เข้าใจความหมาย

    ด้วยเหตุนี้ในยุคนี้สมัยนี้ ถ้าเราเป็นผู้ที่ประมาท เราจะศึกษาพระธรรมอย่างผิวเผิน แต่ถ้าเราเป็นผู้ไม่ประมาท สักคำเดียวเราต้องเข้าใจให้ถูก อย่าง “ธรรม” คำเดียว ต้องเป็นธรรม เป็นอย่างอื่นไม่ได้ อนิจจัง เกิดแล้วดับ แม้ว่าเราจะไม่ประจักษ์ แต่ฟังแล้วจิตมีหลายประเภทหรือเปล่า ขณะนี้ใครมีจิตโลภบ้าง ไม่มี ขณะนี้ใครมีจิตโกรธบ้าง ไปไหน ก็จิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ ทุกขัง คือ สภาพที่ไม่เที่ยงนั่นเอง ไม่น่ายินดีเลย เราหลงพอใจกับสิ่งซึ่งสั้นแสนสั้น สั้นมาก แต่ไม่รู้ว่าสั้นแค่ไหน เพราะไม่ประจักษ์การเกิดดับ ก็เลยติดหมดเลย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ล้วนแต่เป็นสิ่งซึ่งสั้นแสนสั้น

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ท่านประจักษ์ความสั้นแสนสั้น หมดความสงสัย ดับกิเลสตามลำดับขั้น แล้วทุกคนก็สงสัยว่า น่าจะดับกิเลสหมดเลย เห็นอย่างนี้แล้วทำไมกิเลสยังไม่หมด กิเลสมากแค่ไหน ไม่เคยรู้ ถ้าไม่เคยอบรมเจริญปัญญาแล้ว ไม่รู้ว่ากิเลสมากแค่ไหน คิดว่ากิเลสของตัวนิดเดียว แต่ลึกลงไปเป็นนามธาตุซึ่งประกอบด้วยส่วนที่ไม่ดีมากมายมหาศาล อวิชชาเท่าไร เกิดมาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ รู้แค่ไหน แล้วยังนอกจากอวิชชาอีก โลภะ โทสะ โมหะ อะไรสารพัด

    ผู้ฟัง ให้เราขัดเกลากิเลส

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ด้วยปัญญา คือปัญญาก็ทำหน้าที่ของเขา ปัญญาไม่เกิด ใครจะไปขัด อวิชชาขัดไม่ได้ ธรรมอื่นมีหน้าที่เฉพาะอย่างๆ เป็นเจตสิก ๕๒ ชนิด เจตสิกแต่ละชนิดก็มีลักษณะของเขา มีกิจการงานของเขา ถ้าสติไม่เกิด ตั้งใจจะให้สติเกิด จงใจสักเท่าไร สติก็ไม่เกิด แต่ลักษณะของสมาธิมี ทำให้เข้าใจว่า สมาธินั้นคือสติ นี่คือขาดความละเอียดในการศึกษาธรรม เพราะฉะนั้น ก็มีสติเฉพาะเวลาที่เป็นกุศล แต่ว่าถ้ากุศลกับอกุศล ยังแยกกันไม่ออกอีก ก็เลอะกันไปหมดเลย สมาธินั้นก็เลยกลายเป็นของดี ทั้งๆ ที่เป็นอกุศล เป็นมิจฉาสมาธิ


    หมายเลข 9320
    21 ส.ค. 2567