สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๘


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๘


    ผู้ฟัง อยากทราบว่า ทุกคนทราบความหมายที่ถูกต้องของโลภะ โทสะ โมหะ ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว มีชื่อเกือบร้อยชื่อ หรือจะถึงร้อยชื่อ ซึ่งทุกคนคงจำไม่หมด เพราะว่าเป็นภาษาบาลี แต่ลักษณะคล้ายคลึงกันมาก คือว่า จะติดข้องมากน้อยสักเท่าไรก็เป็นการติดข้อง โดยที่ไม่รู้ตัว แต่ติดข้องเข้าไปแล้วก็ได้ อย่างความหวัง ภาษาบาลีว่า อาสา อาสาที่เราใช้ในภาษาไทย ออ อ่าง สระอา สอ เสือ สระอา นี้คะ เป็นลักษณะของโลภะ พรุ่งนี้จะทำอะไร แค่นี้ หวังอะไรกันบ้าง นั่นแหละค่ะ ในใจ ทั้งหมดไม่ปรากฏว่า ตะกละตะกลาม โลภโมโทสัน น่ารังเกียจ เพียงแค่นั้นก็คือโลภะ เหมือนไฟ นิดเดียวก็ร้อน กองใหญ่ก็ร้อน เปลี่ยนไฟให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ หรือของเหม็นของไม่สะอาด นิดเดียวก็มีกลิ่นที่ไม่สะอาด จะเปลี่ยนให้เป็นของดีไปไม่ได้ ต่อเมื่อมีเยอะๆ เราเห็น เราไม่ชอบ แต่ตอนเล็กๆ น้อยๆ นี้เราไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องตรงต่อลักษณะของธรรมว่า เราใช้คำว่า “โลภะ” ในภาษาไทย เราคิดว่าคนนั้นโลภมากอยากได้เยอะๆ ๑ไม่พอต้อง ๒ ๒ ไม่พอต้อง ๑๐ หรืออะไรอย่างนี้เรียกว่าเขามีโลภะ แต่ความจริงแต่ติดข้อง เพราะความไม่รู้ก็เป็นโลภะแล้ว

    ผู้ฟัง ความรักลูกก็เป็นโลภะ

    ท่านอาจารย์ เป็นตลอดแน่นอน ต้องยอมรับความจริง

    ผู้ฟัง ทีนี้บางคนเขาก็คิดว่า เรามีลูก หน้าที่ของพ่อแม่คือต้องรักลูก ต้องดูแลลูกอยู่แล้ว อันนั้นเป็นอกุศลได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ค่ะ คือถ้าไม่รู้ก็คิดว่าโลภะ รักลูกนี้ดี แต่ว่าโลภะที่ไม่ดี เพราะเหตุว่านำความทุกข์มาให้ ถ้าไม่รัก ไม่ต้องทุกข์ ใช่ไหมคะ แล้วขณะที่เรารู้สึกสนุกมาก เพลินมาก ลูกน่ารักมาก อะไรก็ตามแต่ หรืออะไรๆ ก็อร่อยมาก ดีมาก แท้ที่จริงไม่รู้ว่า ขณะนั้นใจ หวั่นไหว กระเพื่อม ติดข้อง ต้องการ เป็นลักษณะที่ทรมาน แต่ว่าเมื่อความไม่รู้ ก็เหมือนกับคนที่ชินกับอะไรสักอย่างหนึ่ง อาหารเผ็ดๆ ก็ต้องเผ็ดถึงจะอร่อย หรืออะไรอย่างนั้น แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว โลภะเป็นกุศลไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าในขณะนั้นคนที่มีโลภะจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม จิตไม่สงบ เขาคิดว่าสนุกมาก ดีเหลือเกิน อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อวันก่อนเราไปเที่ยวสวน บ้านเศรษฐี มีทุกอย่างในตู้ มีอะไรๆ สารพัดอย่าง เขาอาจจะคิดว่า เขามีเยอะ เขารับสิ่งที่ดีด้วยปัญญาหรือเปล่า ชีวิตคนเราขึ้นอยู่กับกรรม หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่า เราจะเกิดเป็นใคร เราอาจจะเกิดในครอบครัวซึ่งมีทรัพย์สมบัติมากมาย หรือว่าอาจจะเกิดที่ไหนก็ได้ หรือว่าถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น บางวันเราก็ได้สิ่งที่ดีมาก ใครๆ ก็ชมว่าสวยดี หรือว่าดีจริงๆ แล้วเรารับสิ่งนั้นด้วยปัญญาหรือว่าด้วยความติดข้อง

    นี่แสดงให้เห็นว่า เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ที่จะได้รับสิ่งต่างๆ ในชีวิตตามกรรม ถ้าเป็นผลของกรรม เราก็เห็นสิ่งที่ดีๆ เพชรนิลจินดากี่วงอะไรก็ตามแต่ เสียงเพราะๆ กลิ่นหอมๆ รสอร่อย สิ่งที่กระทบสัมผัสก็สบาย ซึ่งทุกคนติดมาก ไปดูบ้านไหนก็บ้านนั้น

    ผู้ฟัง ความหมายของโลภะมีมากขึ้น

    ผู้ฟัง คือ..เรื่องโลภะ ...

    ท่านอาจารย์ เป็นอกุศล ทำให้ใจเราหวั่นไหว คือไปติดเสียแล้ว

    ผู้ฟัง ชีวิตคนธรรมดา เราจะต้องมีโลภะ

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    ผู้ฟัง อย่างเราเป็นคนธรรมดา เราก็คือต้องมีโลภะ อยากให้ชีวิตเรามีความก้าวหน้า

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง แล้วอาจารย์คิดว่า ... ถ้าหากเราไม่มีโลภะเลย เรา ...

    ท่านอาจารย์ ก็ดีที่นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เพราะว่าถ้าเผินแล้ว เราจะมองเหมือนอย่างนั้น ซึ่งทำให้คนอื่นเขาโจมตีศาสนาเราได้ว่า ถ้าไม่มีกิเลสแล้วคงนั่งเฉยๆ พระพุทธเจ้าไม่เคยอยู่เฉยเลยสักวัน

    ผู้ฟัง มันเหมือนกระดาษสอนคน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ท่านทำสิ่งที่มีประโยชน์ให้ชาวโลก แต่ไม่ได้ด้วยความติด ไม่ใช่ด้วยความหวัง ไม่ใช่ด้วยความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระองค์เสวยอาหารที่มีผู้ถวายอย่างประณีต เหมือนกับเรามีโอกาสจะรับประทานอาหารอร่อย แต่จิตของท่านกับของเราต่างกันลิบ เพราะว่าแม้ว่าสิ่งที่ดีจะมาปรากฏกระทบ ผู้ที่ไม่มีกิเลส ไม่หวั่นไหว แต่ผู้ที่มีกิเลส ติดเลย ติดอย่างชนิดซึ่งเหมือนกับดินน้ำมันหรืออะไรที่ติดแน่นๆ ซักก็ไม่ออก อะไรอย่างนั้น แล้วก็มันมากเท่าไรที่จะต้องขัดไปอีก ขัดไปอีก ในเมื่อมันติดมาทุกชาติ แล้วทุกวันด้วยอย่างนั้น แล้วผู้ที่สามารถขัดได้ แล้วก็หมด แล้วก็ชี้ให้เราเห็นว่า โลภะที่เราว่าทำให้วัตถุเจริญ จริงๆ แล้วที่บอกว่า เป็นสิ่งที่กระตุ้นหรือสร้างหรือสร้างสรรค์ทำให้สิ่งต่างๆ มี เราก็ต้องวิเคราะห์ให้ถูกต้องว่า ทำให้โลภะ ทำให้โลกหรือวัตถุเจริญ หรือว่าทำให้จิตใจเจริญ

    ในครั้งพุทธกาลไม่ต้องกลัวเลย เรื่องปัญญา มหาอำมาตย์ของแคว้นเวสาลี หรือพระเจ้าพิมพิสาร หรือใครก็ตามแต่ที่ได้ฟังธรรม มีหน้าที่มีกิจการงานเป็นถึงมหาเสนาบดี เป็นพระโสดาบัน เป็นชาวพุทธ ขั้นแรกที่สุดที่ละ ไม่ใช่ให้ละโลภะ ซึ่งเราติด มาก ให้ละโลภะซึ่งเกิดร่วมกับความเห็นผิด แค่นี้ก่อน นิดเดียว ไม่ใช่ให้ละหมด บ้านช่องไม่ต้องมี ของสวยๆ งามๆ ไม่ใช่ค่ะ เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ไม่มีใครทำอย่างนั้น ตราบใดที่ยังมีกิเลส เพราะฉะนั้น กิเลสก็ต้องขัดไปเป็นประเภทๆ ขั้นแรกที่สุดที่เรามานั่งฟังที่นี่ เพื่อพ้นจากความเห็นผิด จากการที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องสภาพธรรม จากการที่แม้ธรรมปรากฏก็ไม่ได้ปรากฏเป็นธรรม ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดชาติ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม เราอยู่ในโลกของสมมติบัญญัติตั้งแต่เกิดจนตาย สมมติบัญญัติหมายความว่าเรื่องราวของปรมัตถธรรม หลังจากที่ปรมัตถธรรมเกิดแล้วดับ ความทรงจำจำไว้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตสัญญา

    เพราะฉะนั้น ในโลกของเราคือจิตที่กำลังเกิดดับ เต็มไปด้วยเรื่องราว ไม่ได้เต็มไปด้วยปัญญาที่รู้ว่าเป็นปรมัตถธรรม ขณะที่คนที่ไม่ได้ฟังธรรมเลยตั้งแต่เกิดจนตาย ขณะใกล้จะตายก็ยังคงเป็นสมมติบัญญัติ ปรมัตถ์ไม่ปรากฏเลยว่า เป็นเพียงสภาพธรรม ทั้งๆ ที่แท้จริงเป็นสภาพธรรม แต่โมหะ หรืออวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้ หน้าที่คนละหน้าที่

    ผู้ฟัง เท่ากับขณะนี้เรากำลังจะนั่งทำความรู้จักกับ

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรม หรือ ธรรม พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ตรัสรู้ธรรม


    หมายเลข 9321
    21 ส.ค. 2567