สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๓๐


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๓๐


    ผู้ฟัง อาจารย์ครับ ธรรมดาจะเป็นอวิชชา ผมพอเข้าใจว่า mind, body, spirit, psychology ผมรู้ว่าอาจจะเป็นอกุศล หรือว่าไม่ถูกเลย จิตก็คือ mind

    ท่านอาจารย์ คงจะแคบไปถ้าเราพูดอย่างนั้น คือมีวิชาการหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจิตวิทยา ปรัชญา หรืออะไรก็ตามแต่ เขาไม่ได้แสดงธรรมโดยละเอียด เพราะฉะนั้น คำที่ใช้ ใช้คลุมเครือ อย่างว่า mind and body แล้วอยู่ไหน mind บอกมาเลย อยู่ตรงไหน มีลักษณะอย่างไร ก็บอกไม่ได้ รู้แต่ว่ามี ก็เลยมี self มี sole มีอะไรอีกตั้งหลายอย่าง แต่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของการตรัสรู้ รู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมด้วยปัญญา

    เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมไปเป็นอย่างอื่นได้ เพราะว่ามีผู้ที่รู้แจ้งแล้วว่า สภาพนั้นเป็นอย่างนั้น เขาอธิบาย mind ของเขาก็เป็นพวก spiritual นามธรรม พวกนั้น แต่ว่าบอกไม่ได้ อยู่ตรงไหนอย่างไรก็ไม่รู้ทั้งนั้น แล้วก็มีจัดระดับกันตามวิชาจิตวิทยา เพราะไม่รู้ความจริงว่า จิตเกิดดับเร็วมาก

    เพราะฉะนั้น เราจะบอกว่าเหมือนกัน ก็ผิด มันไม่เหมือน จะเอามาใช้คำนี้ก็ไม่ได้ ดีที่สุดคือใช้ภาษาบาลี ไม่ว่าชาติไหน เป็นสากล พอใช้ “จิต citta” ทุกคนรู้ หมายความถึงสภาพรู้หรือธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏด้วย ในขณะนี้สีกำลังปรากฏ คือ จิตกำลังรู้สิ่งที่กำลังปรากฏว่า มีสีเป็นอารมณ์ มีสีต่างๆ ถ้ากำลังได้ยินก็คือจิตนั่นแหละกำลังมีเสียง กำลังรู้เสียง เสียงกำลังปรากฏ อะไรที่ปรากฏเพราะจิตรู้ แต่เราลืม ตลอดชีวิตมา เสียงเล็กเสียงน้อย อะไรต่ออะไร กลิ่นเล็กกลิ่นน้อย ทุกสิ่งทุกอย่าง จิตรู้ไปหมดทุกอย่าง ที่เราว่า เป็นเรารู้ ก๊อกแก็ก หรือตูมตาม อะไรก็ตามแต่ จิตรู้ จิตเกิดขึ้นสิ่งนั้นจึงได้ปรากฏ เพราะจิตรู้สิ่งนั้นจึงปรากฏให้จิตรู้ได้

    ผู้ฟัง เมื่อไรจิตจะหมดครับ สมมติว่าเราตายไป จิต still working…

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนะคะ เรายังไม่ตาย เอายังไม่ตายนี้ดีที่สุด เมื่อกี้นี้กับเดี๋ยวนี้ ขณะไหนไม่มีจิตบ้าง

    ผู้ฟัง คือถ้าเผื่อจะมองแบบว่า ทุกอย่างเกิดแล้วก็สลายไป ก็ไม่มีจิต

    ท่านอาจารย์ ไม่ขาดสาย คือ ทันทีที่จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นทำหน้าที่ของเขา อย่างจิตเห็น เขาเห็นอย่างเดียว แสนโกฏิกัปป์มาแล้วก็เกิดขึ้นอย่างนี้ เปลี่ยนไม่ได้ แล้วดับ แต่ทันทีที่ดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ไม่มีอะไรที่จะคั่นเลย เพราะฉะนั้น อาการปรากฏของจิต คือ สืบต่อเหมือนไม่ดับ นี่คืออาการปรากฏของจิต เกิดแล้วก็ดับ แล้วที่ดับ ดับเลย อย่าไปคิดว่าจะกลับมาอีก ไม่มีทาง

    ผู้ฟัง แม้กระทั่งสิ้นชีวิตไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ก็เกิดดับเหมือนกัน เพราะเหตุว่าจิตเป็นอนันตรปัจจัย หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างเขามีพลัง และมีความสามารถ มีหน้าที่ มีสันตติ ภาษาบาลี ที่จะทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นไป ถ้าเป็นจิต แล้วละก็ทุกดวงนอกจากจุติจิตของพระอรหันต์เป็น อนันตรปัจจัย หมายความว่าทันทีที่ดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ไม่มีระหว่างคั่น เมื่อกี้นี้กับเดี๋ยวนี้ จิตเกิดดับสืบต่อนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น เวลาที่จุติจิต จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ดับ มีปัจจัยที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตชาติต่อไปเกิดทันที ไม่มีระหว่างคั่น นี่คืออนันตรปัจจัย

    ผู้ฟัง สมมติว่าเราเสียชีวิตปุ๊บ จิตดับ เกิดขึ้นมาใหม่ก็เป็นคนใหม่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น บางคนที่เขาร้องไห้เสียใจ ก็มีคนเตือนให้รู้ว่า เขาเกิดแล้ว

    ผู้ฟัง แล้วก็ถ้าเกิดคนทำไม่ดี กลับมาตกนรก ตกนรกไปแล้วจิตเกิดใหม่แล้วนี่คะ

    ท่านอาจารย์ ปฏิสนธิจิตก็เกิดในนรก

    ผู้ฟัง อ๋อ OK

    ท่านอาจารย์ คือเราติดสถานที่ แต่หารู้ไม่ว่า จิตเพียงอาศัยรูปๆ หนึ่งเกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตจะไม่เกิดนอกรูปเลย แล้วรูปที่เป็นที่เกิดของจิตก็ดับเร็วด้วย เป็นเพียงที่เกิดของจิตแล้วดับ เพราะฉะนั้น เราไม่ได้อยู่ในโลกกว้าง อเมริกาอยู่ตรงนี้ ประเทศไทยอยู่ตรงโน้น ดูมันไกล แต่เขามีปัจจัยที่จะให้จิตเกิดตรงไหน จิตเกิดตรงนั้น แม้แต่ที่ตาซึ่งเป็นจักขุปสาทรูปเป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ จิตเห็นเท่านั้น พอถึงหู โสตปสาทรูป เป็นรูปที่สามารถกระทบเสียง แล้วก็เป็นที่เกิดของจิตได้ยิน ตรงนั้น คิดดูสิคะ แล้วเวลานี้ถ้าเราจะกระทบตรงไหน ตรงที่รูปนั้นปรากฏคือจิตเกิดตรงนั้น รู้สิ่งนั้นตรงนั้น เพราะว่ากำลังรู้ตรงนั้น เพราะฉะนั้น จิตก็ต้องอยู่ตรงนั้นแล้วก็ดับตรงนั้น มันก็ห่างกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น อเมริกาหรือไทย หรือนรก หรือสวรรค์ ไม่มีปัญหา


    หมายเลข 9323
    21 ส.ค. 2567