สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๓๓


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๓๓


    ท่านอาจารย์ โลกนี้มีจริง เพราะเรากำลังอยู่ในโลกนี้ หมดความสงสัยเลย มนุษย์โลกเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง ตรงไหนมีอะไร ถ้าเราอยู่ในโลกหนึ่ง เราก็หมดความสงสัยในโลกนั้น ถ้าเราไม่อยู่ เราไม่เห็น จะมีได้ไหม ถ้ามีเหตุที่จะให้เกิดที่ไหนก็ได้ เพราะที่เกิดไม่ใช่มีโลกนี้โลกเดียว

    ผู้ฟัง ถึงแม้เราจะเห็นอย่างนี้ ...

    ท่านอาจารย์ จะต้องมีเหตุที่จะเกิดในที่ๆ สบาย เรียกว่าสวรรค์ รูปร่างกายก็สะอาดสะอ้าน ไม่ต้องอาบน้ำอาบท่า ไม่ต้องไปเข้าครัวตำน้ำพริก มีอาหารทิพย์ มีทุกสิ่งทุกอย่างสะดวก

    ถ้าเราเข้าใจเรื่องจิต สวรรค์หรือโลกมนุษย์ก็คือสิ่งสมมติ เพราะว่าจริงๆ แล้วจิตต้องเกิดที่หนึ่งที่ใด มีภูมิที่เกิด อย่างโลกเราเป็นโลกมนุษย์ แล้วเป็นโลกของสัตว์ด้วยหรือเปล่า เขาก็อยู่กับเราด้วย เพราะฉะนั้น ก็ตามภูมิของจิต แม้ว่าจะอยู่ที่เดียวกัน เพราะฉะนั้น เวลาที่เราจะคิดถึงธรรมจริงๆ ทีละขณะจิต จะแสดงให้เห็นเลยว่า เราสมมติ เราเข้าใจว่า เราอยู่ที่ไหน แต่ขณะใดที่มีเพียงจิตเห็นสิ่งที่ปรากฏ ไม่มีโลกไหนเลย โลกไม่มี เพราะว่ามีจิตกำลังเห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น เราถึงจะเห็นว่า ความบอบบาง ความไม่มีสาระ ความเป็นอนัตตา กินความหมายหมด แม้แต่โลกใหญ่ๆ ที่เราว่า เป็นโลกมนุษย์ทั้งก้อน ทั้งแท่ง ลึกลงไปมีอะไรสารพัดอย่าง ก็มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ละเอียดยิบ ในเหล็ก ในอะไร ก็มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ทั้งนั้น พร้อมที่จะสลาย เพราะฉะนั้น ก็บอบบางจริงๆ เราไปเห็นความหนาแน่นแท่งทึบ เราก็คิดว่าใหญ่โตมโหฬาร แต่ว่าถ้ามีการกระทบสัมผัสด้วยปัญญา จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของทุกสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่จิตเห็นกำลังเห็น โลกไม่มีเลย ขณะที่กำลังได้ยิน ก็ไม่มีโลกปรากฏ แต่ที่เรามีทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ที่นี่ นั่งอยู่ที่นี่ เป็นผลของกรรมที่ทำให้เราเห็นสีของโลกนี้ ได้ยินเสียงของโลกนี้ ซึ่งบางครั้งดี บางครั้งไม่ดี ตามกรรม เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีกรรมที่ดีมากๆ เราก็จะมีความสบายทางกาย ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และสิ่งที่สบายอย่างนั้น มันจะเป็นโลกนี้ หรือว่าโลกอื่น

    ผู้ฟัง คำว่า กรรม นี้คล้ายๆ ว่าของไม่ดี แต่ว่า

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ อันนี้ภาษาไทยอีก พูดว่า นี่บุญของเขา นี่กรรมของเขา ก็เลยบุญดี กรรมไม่ดี แต่ความจริง กรรมจริงๆ หมายความถึงกระทำ ได้แก่ เจตนาเจตสิกเจตสิกประเภทหนึ่งใน ๕๒ อย่าง

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นบุญเป็นผลของความดี

    ท่านอาจารย์ เป็นผลของกรรมดี เพราะเหตุดี ผลก็ต้องดีด้วย

    ผู้ฟัง จิตจะเกิดได้ต่อเมื่อมีขันธ์ ๕ พร้อม

    ท่านอาจารย์ คือต้องแยกลักษณะของนามธรรมกับรูปธรรมออกโดยเด็ดขาด ไม่เกี่ยวกัน แต่ที่เกี่ยวกัน เพราะในโลกนี้ มันมีทั้ง ๒ มันก็เลยทำให้เหมือนกับว่า ไม่แยกขาดจากกัน เพราะว่าโลกนี้มีรูปธรรมแน่นอน แล้วก็มีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นสีสันวัณณะของโลกนี้ ได้ยินเสียงที่มีในโลกนี้ เพราะฉะนั้น จิตก็รู้รูป เราอยู่ในกามภูมิ หรือกามภพ หรือกามโลก คำว่ากาม กา มะ หมายความถึงรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เราติดมากเลย เพราะว่ามันมีให้เราติด ถ้าในภูมิที่น้อยกว่านี้ ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เราก็ติดแค่ตา แค่หู

    ผู้ฟัง คำว่า กาม กา มะ แปลว่า ผมว่ามันเกิดเพราะว่าเหมือนกับสัตว์ หรือมนุษย์ เกิดมาเมื่อไม่รู้จักรูป สี กลิ่น รส มันก็ถือไว้ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ กาม หมายความถึงตัวรูปเลย เป็นที่พอใจ เสียงก็เป็นกาม เป็นที่พอใจ กลิ่น รส สัมผัสเป็นที่พอใจ ถ้าไม่มีสภาพรู้เกิดขึ้น ก็ไม่มีใครไปพอใจ รูปก็เป็นรูปดับไปไม่มีความหมายอะไร แต่เพราะมีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น ติดเลย พอใจที่จะเห็นสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น รูปจึงเป็นกาม เพราะว่าเป็นที่พอใจ


    หมายเลข 9326
    21 ส.ค. 2567