สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๓๕
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๓๕
ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้เป็นคำถามนอกลู่นอกทาง ท่านอาจารย์สอนมา เคยเห็นใครไหม ที่กิเลสน้อย
ท่านอาจารย์ ดิฉันไม่สนใจ ไม่สนใจเลย คือไม่สนใจว่า คนที่ฟังเข้าใจแค่ไหน ก็ไม่หวัง หรือไม่สนใจเลย ทำหน้าที่เท่าที่จะทำได้ คือ ถ้าสามารถจะช่วยอธิบาย แล้วก็พูดอะไรที่จะให้คนเข้าใจ ดิฉันก็จะทำ แต่ใครจะเข้าใจมากน้อยเท่าไร วันนี้สนใจ คราวหน้าไม่สนใจ ก็เรื่องของเขา เราจะไปหวังอะไร หวังทำไม หวังแล้วก็ผิดหวัง ไปหวังได้อย่างไร ไม่ได้ทำเพื่อความหวังใดๆ ทั้งสิ้น
ผู้ฟัง ตามความคิดของท่านอาจารย์ เราได้ยินธรรม เราก็มีความยินดีที่จะเรียนรู้ เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราได้กุศล เราสร้างกุศล เราก็อยากจะแชร์ให้กับคนอื่นเขา สิ่งที่ดีที่สุดคือว่า ไม่ใช่รอให้เขามาหาเรา เราควรจะพูดไปเรื่อยๆ เราควรจะเชิญคนเข้ามาฟังธรรมไหมครับ แล้วก็แล้วแต่ว่าเขาจะมาไม่มา เขาจะสนใจหรือไม่สนใจ หรือว่าเราเก็บไว้สำหรับตัวเราเอง
ท่านอาจารย์ คือถ้าเราเก็บไว้สำหรับตัวเรา มันก็หมดที่ตัวเรา
ผู้ฟัง ใช่ ครับผม
ท่านอาจารย์ แน่นอนอยู่แล้ว เพระเราก็ต้องตาย แต่ถ้าเราเห็นประโยชน์ของพระธรรม ชีวิตของเราจะมีค่าขึ้นอีก เมื่อเราสามารถที่ให้พระธรรมดำรงอยู่ต่อไป แต่ว่าไม่ใช่โดยการที่เราไปให้กับคนที่เขาไม่พร้อม หรือว่าคนที่เขาไม่ได้สะสมมา เพราะนอกจากเป็นการเสียเวลาทั้งเขาทั้งเรา สิ่งที่ทำก็ไม่เกิดประโยชน์ ก็เอาเวลานั้นทำสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นว่าใครพร้อม หรือว่ามีศรัทธาจริงๆ เราก็ช่วยกัน ทำให้เขามีความเข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง แต่บางทีเราดูคน อาจจะดูคนไม่เพียงพอ เราอาจจะดูผิด เพราะว่าเป็นคนดี เปิดเผย เราก็อยากจะไปเชิญเขาให้เขามาฟังธรรม แล้วคราวนี้ถ้าเกิดเขาฟังแล้ว เขาเกิดความศรัทธาเองก็ดี ถ้าเกิดเขาไม่เกิดศรัทธา เขาก็จะไม่กลับมาอีก ก็จะเป็นไปในรูปนั้น ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็มันเป็นของธรรมดา คือเรามีกุศลเจตนา แต่เราไม่หวัง ถ้าหวังแล้วเราจะผิดหวัง เราทำดีที่สุดเท่านั้นค่ะ
ผู้ฟัง คือว่าเราควรจะมีเจตาที่ดี ที่ไปเชิญเขามา
ท่านอาจารย์ ค่ะ บอกให้เขาทราบ ถ้าเขาสนใจ เขาก็มา ไม่สนใจก็ไม่มา เหมือนอย่างเราบอกคุณจอห์น บอกคุณโอ บอกคุณอ๋อย บอกใครๆ แล้วแต่ว่าใครสนใจ คนนั้นก็มา
ผู้ฟัง ก็แล้วแต่เขาสะสมมา ถ้าเขาไม่ได้สะสมมา เราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนว่าเขาไม่สนใจ
ท่านอาจารย์ แม้แต่คนในบ้านเรา อย่างที่บ้านมีหลานตั้งเยอะ ก็ไม่เคยบอก ไม่เคย คะยั้นคะยอ เราก็ทำให้รู้ ถึงเวลาแล้ว จะขึ้นบ้าน ขึ้นห้องฟังเทป ฟังวิทยุ ก็แล้วแต่ เขาก็อาจจะสงสัย ถึงเวลาทานข้าว ถ้าวิทยุยังไม่จบ ดิฉันก็เอาวิทยุมาด้วยเวลาทานข้าว เขาก็นั่งอยู่เขาสนใจก็สนใจ ไม่สนใจก็ไม่สนใจ คือ เกินกว่าที่เราจะพูด เพราะว่าเหมือนกัน บอกหรือไม่บอกมีค่าเท่ากัน แต่ถ้าการกระทำของเรา มันก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็น ความสำคัญ ซึ่งถ้าเขาเห็นด้วย เขาก็ค่อยๆ สนใจทีละเล็กทีละน้อย โดยที่เราไม่บังคับ คุณหมอสัญชัยกับคุญบุญศรี คุญบุญศรีทีแรกไม่ได้นับถือพุทธศาสนา แต่สามีคือคุณหมอสัญชัยนับถือ ความเกรงใจภรรยาว่า อาจจะไม่อยากฟังเลย คุณหมอก็ฟังวิทยุในห้องน้ำ ไปในห้องน้ำ เพื่อว่าจะไม่รบกวน ตอนหลังคุญบุญศรีค่อยๆ สนใจขึ้น ทั้ง ๒ คนก็ฟัง แต่ก็ไม่ได้บอกลูก ว่าให้ลูกฟังหรืออะไร แต่ลูกได้ยินเอง ฟังเอง สนใจเอง เวลานี้ทั้ง ๒ คนก็มีเทปอยู่ในรถ แล้วพอพ่อแม่มีเทปใหม่ก็ขอ หรืออะไรอย่างนี้ คือว่าถ้าบอกเขาก็อาจจะบ่ายเบี่ยง ยังไม่ถึงเวลา แต่เมื่อถึงเวลาของเขา เขาสนใจ เราก็สงเสริมได้ ช่วยเหลือได้ให้เขาได้ฟังมากขึ้น ถ้าเป็นในรูปนั้นก็ดี