สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๓๖
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๓๖
ท่านอาจารย์ เรื่องธรรมเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับคนที่เริ่มใหม่ๆ เพราะว่าปกติเราจะได้ยินคล้ายๆ กับธรรมเทศนา เพียงขั้นระดับของศีล ๕ ให้ละชั่ว คือว่าไม่ทำอกุศลกรรมบถ ไม่ให้ฆ่าสัตว์ ต่างๆ เหล่านั้น นั่นเป็นระดับจริยธรรม แต่ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งใกล้ปรินิพพาน
เพราะฉะนั้น พระธรรมมีมาก แล้วก็จารึกไว้เป็น ๓ ปิฎก เป็นส่วนๆ คือส่วนที่ ๑ เป็นพระวินัยปิฎก เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่ ๒ เป็นเรื่องว่าพระองค์ทรงแสดงธรรมกับใคร ที่ไหน เรื่องอะไร ส่วนที่ ๓ เป็นธรรมล้วนๆ ซึ่งไม่ทราบว่าจะมีใครเคยสนใจฟังหรือเปล่าว่าพระอภิธรรมปิฎก เพราะมี ๓ ปิฎก พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และปิฎกสุดท้ายคือพระอภิธรรมปิฎก พระอภิธรรมปิฎกเป็นเรื่องของธรรมล้วนๆ
อภิ แปลว่ายิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น ธรรมจะยิ่งใหญ่อย่างไร แล้วอยู่ที่ไหน ถ้าเราไม่รู้ เราก็ไม่เห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมนั้น แต่ถ้าเราทราบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ เป็นอะไร เป็นสิ่งที่มีจริง เรากำลังอยู่ที่นี่ กำลังเห็น กำลังคิด จริงหรือเปล่า ถ้าเป็นสิ่งที่มีจริง ก็คือธรรมนั่นเอง แต่ทำไมเราไม่รู้จักธรรมนี้ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ ไม่ทรงแสดง ก็เป็นตัวเราที่นั่งอยู่ที่นี่ แต่ว่าเมื่อทรงแสดงแล้วก็ต่างกับคำสอนอื่นๆ เพราะว่าคำสอนอื่นๆ จะมีเรา แล้วก็จะให้เราพากเพียรทำสิ่งที่ดี แล้วก็จะต้องไปเชื่อฟังใครก็ตามแต่ ผู้สร้างหรืออะไรอย่างนั้น คือสอนให้เชื่อ แต่ว่าไม่ได้สอนให้เข้าใจ แต่พุทธศาสนาไม่ใช่อย่างนั้นเลย ศาสนาคือคำสอน พุทธะของผู้ที่ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น คำสอนของผู้ตรัสรู้จริงๆ ย่อมสอนให้คนที่ฟังสามารถที่จะเกิดปัญญาแล้วก็เข้าใจได้
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เป็นคำพูดที่ตรัส และทรงแสดง ไม่เปลี่ยน เปลี่ยนไม่ได้ อย่างที่กล่าวว่า ธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง อย่างที่คุณแจ็คกล่าวเมื่อกี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง อย่าเพิ่งผ่านคำนี้ไป แล้วก็อย่าเผิน ทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนี้คืออะไร ที่มีจริงๆ เราต้องคิด แล้วดูสิว่าคำตอบของเราถูกหรือเปล่า เพียงแค่นี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม จะมีใครลองตอบไหมคะ ขณะนี้อะไรจริง
ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏเป็นจริง
ท่านอาจารย์ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา จริงแน่ๆ เพราะกำลังเห็น เป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งจะปรากฏได้เฉพาะเมื่อกระทบตา กระทบหูไม่ปรากฏ กระทบกายไม่ปรากฏ ต้องกระทบกับจักขุปสาท เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่มีตา คือจักขุปสาทเท่านั้นที่จะเห็น
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การเห็นมีจริงๆ เป็นธรรมชนิดหนึ่ง แล้วสิ่งที่ปรากฏก็จริงก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งในชีวิตของเราทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง จากการที่ตรัสรู้ก็ทรงแสดงว่า ธรรมมี ๒ อย่างที่ต่างกัน ไม่ว่าเราจะนั่งอยู่ที่นี่ หรือว่าอยู่ที่ไหน อยู่ในโลกนี้ หรือว่าออกไปนอกโลกนี้ ไปถึงไหนก็ตาม กี่ภพ กี่จักรวาลก็ตาม ธรรมจะมีต่างกันเป็น ๒ ประเภทเท่านั้น คือ นามธรรมกับรูปธรรม ชื่ออาจจะทำให้เราเข้าใจผิด เพราะว่าเราเคยฟังแล้วเคยคิดอย่างหนึ่ง แต่พอศึกษาธรรมแล้ว ชื่อต้องตรงกับที่ทรงแสดง เช่น ธรรมหมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ ธรรมที่เป็นรูปธรรม ต้องเปลี่ยนความคิดเดิมๆ ทั้งหมด แล้วก็เข้าใจใหม่ว่า รูปธรรมหมายถึงสิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงแล้วไม่รู้ เป็นรูปธรรม สิ่งที่มีจริง เราไม่ต้องเรียกชื่อก็มี อย่างเสียง เราไม่ต้องเรียกอะไรเลย หรือจะใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาไทยอะไรก็ตามแต่ เสียงมีจริงๆ แล้วเสียงก็ไม่สามารถรู้อะไรเลยทั้งสิ้น เสียงเป็นรูปธรรม แต่เราใช้คำว่าเสียง เป็นคำบัญญัติ ให้รู้ว่าเราหมายถึงสภาพธรรมอะไร เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ต้องเรียกชื่อเลย อย่างโกรธ พอเกิดขึ้น ขุ่นใจ ไม่สบายใจ มีจริงๆ ไม่ต้องเรียกชื่อ หรือจะเรียกชื่อภาษาจีน ภาษาไทย ภาษาแขก ก็หมายความถึงสภาพที่โกรธ ที่ประทุษร้ายใจ ที่ไม่สบายใจ
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงเป็นปรมัตถธรรม หรือเป็นอภิธรรม คือต้องเข้าใจความหมายตามลำดับด้วย สิ่งที่มีจริงแล้วเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เป็นปรมัตถธรรม ปรมัตถ์ คือ บรม ยิ่งใหญ่ อภิ ก็ยิ่ง แล้วก็ละเอียด เพราะฉะนั้น เราก็จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงละเอียดขึ้น เพราะอย่างคุณหม่วยตอบตอนต้น โต๊ะจริง โทรทัศน์จริง ทุกอย่างจริง แท้ที่จริงแล้วเป็นคำ ที่เราเรียกสิ่งที่ตามองเห็น หรือว่ากายกระทบสัมผัสได้
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงๆ คือ แข็งเมื่อกระทบ หรือว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็นในขณะนี้ก็จริง สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ ถ้าไม่รู้อะไรก็เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้น เราไปเรียกสิ่งที่ปรากฏทางตาว่า คนบ้าง โต๊ะบ้าง เก้าอี้บ้าง สมมติเรียกให้เข้าใจรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าไม่มีรูปร่างสัณฐานของโทรทัศน์ปรากฏ เราก็ไม่เรียกว่าโทรทัศน์ ถ้าไม่มีรูปร่างสัณฐานของเก้าอี้ เราก็ไม่เรียกว่าเก้าอี้ แต่พอมีรูปร่างสัณฐานเกิดขึ้น ก็มีความจำ แต่ว่าสิ่งที่เป็นปรมัตถธรรม สิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่โทรทัศน์ ไม่ใช่เก้าอี้ แต่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา
นี่เป็นสิ่งที่ยาก เพราะเหตุว่าเราคุ้นเคยกับการจำ สิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ กว่าเราจะรู้จริงๆ ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา เพียงหลับตาก็ไม่มีแล้ว ไม่ปรากฏแล้ว
เพราะฉะนั้นอะไรจริง คือสิ่งที่ปรากฏ แม้เรายังไม่นึกถึงรูปร่างเลย สิ่งที่มีจริงนั้นๆ คือ ปรมัตถธรรม แต่บัญญัติเป็นเรื่องราว เป็นความคิดเรื่องปรมัตถธรรมทั้งหมด