สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๓๗
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๓๗
ท่านอาจารย์ นามธรรมต่างกับรูปธรรม คือ นามธรรมเป็นสภาพรู้ ภาษาไทยเราชินกับคำว่าจิตใจ เราทุกคนบอกว่าเรามีจิตใจ ไม่ใช่มีแต่ร่างกาย แต่เรายังไม่รู้ว่าจิตมีลักษณะอย่างไร ถามว่าจิตอยู่ที่ไหนขณะนี้ ก็อาจจะตอบไม่ได้ แต่ความจริงจิตเป็นสภาพที่เกิดขึ้นเป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งต่างกับรูป เพราะรูปเกิดขึ้น แต่รูปไม่รู้อะไร แต่เวลาจิตเกิดขึ้น จิตต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ อย่างขณะที่เสียงปรากฏ เสียงในป่าก็มี แต่ไม่ปรากฏ แต่ขณะใดที่เสียงหนึ่งเสียงใดปรากฏ หมายความว่ามีจิตที่ได้ยินเสียง คือรู้ในลักษณะอาการของเสียงนั้น โดยไม่ต้องใช้คำแปล ไม่ต้องเรียกอะไรทั้งสิ้น เสียงสูง เสียงต่ำ เสียงทุกอย่าง จะต่างกันมากสักเท่าไร จิตก็เป็นสภาพที่สามารถที่จะรู้ความต่างของสิ่งที่ปรากฏทางหูของเสียงนั้นๆ ได้ เพราะว่าจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด
ขณะนี้ทุกคนมีจิตไหมคะ มี เพราะอะไรถึงว่ามี ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้แน่
ทางตากำลังเห็น ขณะที่เห็นเป็นธาตุรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา พอได้ยินเป็นธาตุอีกชนิดหนึ่งแล้ว เป็นจิตอีกประเภทหนึ่งเกิดขึ้นได้ยินเสียงทางหู
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย เราไม่ใช่ก้อนเนื้อเกิด แต่ว่ามีจิต เจตสิก รูปเกิด เพราะฉะนั้น ขณะนั้นไม่ใช่มีแต่รูป แต่ว่ามีจิตเจตสิกเกิดร่วม เป็นสภาพรู้หรือเป็นธาตุรู้
ผู้ฟัง แล้วยังงงเลยว่า โทรทัศน์เป็นบัญญัติ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เห็นโทรทัศน์เลย ปิดไฟให้หมด แล้วกระทบสัมผัสสิ่งที่เราคิดว่าเป็นโทรทัศน์ เวลากระทบสัมผัสมีอะไรปรากฏ ความแข็ง เพราะฉะนั้น ลักษณะที่แข็งที่กระทบเป็นสิ่งที่มีจริง แต่รูปร่างอย่างนี้ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ เราเรียกว่าโทรทัศน์ เพราะฉะนั้น เราก็จำๆ ๆ ปรมัตถธรรม แล้วก็เรียกชื่อสิ่งที่สมมติบัญญัติ โดยที่เราไม่รู้ว่า ความจริงแล้วก็คือแข็ง
รูปธรรมกับนามธรรม ไม่ทราบว่าแจ่มกระจ่าง ชัดเจน หรือยัง หรือยังสลัวๆ ถ้าเราจำความจำกัดความว่า สิ่งใดที่เกิด แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เป็นรูปธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น เสียงก็เป็นรูป กลิ่นก็เป็นรูป อะไรก็ตาม แข็งก็เป็นรูป ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าเป็นรูป เพราะว่าไม่รู้อะไร คนตายกับคนเป็นมีรูปร่างเหมือนกัน ก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป เขาก็พูดได้ เดินได้ คิดได้ ทำทุกอย่างได้ เพราะมีจิต แต่พอจิตเกิดแล้วดับเป็นขณะสุดท้ายของชาตินี้ ที่เราสมมติเรียกกันว่า “ตาย” รูปนั้นก็ไม่มีจิตใจอีกต่อไป เพราะฉะนั้น ก็เคลื่อนไหวไม่ได้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน
เพราะฉะนั้น ก็พอจะเปรียบเทียบให้เห็นได้ว่า เห็นไม่ใช่ตา ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ แต่เพราะมีสิ่งที่ปรากฏกระทบตาก็เป็นปัจจัยให้มีสภาพรู้เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่คือจิตชนิดหนึ่ง ขณะที่ได้ยินเสียง หูไม่ใช่จิต เสียงก็ไม่ใช่จิต แต่เพราะเสียงกระทบหู จึงเป็นปัจจัยให้มีธาตุรู้ชนิดหนึ่งเกิดขึ้นได้ยินเสียง
เพราะฉะนั้น ที่เคยคิดว่า เป็นเราเห็น เราได้ยิน ก็คือนามธรรม ซึ่งเป็นสภาพรู้ ซึ่งมีจริงๆ เห็นได้ระหว่างคนตายกับคนเป็นว่า คนตายไม่มีสภาพรู้อีกต่อไป แต่ว่าคนเป็นมีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ แต่เราไม่เคยรู้ว่า นั่นเป็นสภาพรู้ เราเคยคิดว่า เป็นเราทั้งหมด แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า มีธาตุหรือสภาพธรรม ๒ อย่างซึ่งต่างกัน คือ รูปธาตุไม่ใช่นามธาตุ หรือว่ารูปธรรมไม่ใช่นามธรรม แล้วก็ทรงแยกละเอียดว่า นามธรรมมี ๒ อย่าง ไม่ใช่มีจิตเท่านั้น แต่มีเจตสิก คือ สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดกับจิต ขณะที่จิตเห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ชนิด แต่ใครจะทราบหรือไม่ทราบก็ตาม เป็นนามธรรมซึ่งต้องเกิดด้วยกัน อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น
นี่ก็ทำให้เราสามารถที่จะรู้จิตใจของเราละเอียดขึ้นว่า จิตของเราแต่ละขณะทำหน้าที่อะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร มีสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับจิตกี่ชนิด