สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๔๐
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๔๐
ถ้าไม่ศึกษา ชาวพุทธไม่มีทางเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ในหนังสือปรมัตถธรรมหน้าแรกจะบอกไว้ว่า พุทธบริษัทถวายสักการะนอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคตามความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราไม่ได้ฟังธรรมเลย เราก็กราบไหว้แบบเชื่อ ผู้ใหญ่บอก ปู่ย่าตายายบอก พ่อแม่บอก ว่าท่านเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสเลย แล้วก็อาจจะบอกว่า มีพระปัญญามาก แต่ก็ไม่ได้บอกว่าอย่างไร แต่ว่าถ้าเราได้เข้าใจธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้ ก็จะรู้จริงๆ ว่า ผู้นี้ตรัสรู้ธรรมด้วยปัญญา เพราะว่าสามารถจะรู้ถึงขณะจิตทีละ ๑ ขณะ ว่าขณะจิตนั้นมีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย และเป็นปัจจัยให้เกิดรูปอะไรบ้าง ก็เริ่มที่จะเห็นพระปัญญาคุณว่า เป็นผู้ที่มีไม่มีผู้ใดเปรียบปาน เพราะว่าสามารถที่จะสอนให้เราเกิดปัญญาของเราเอง
นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งเราไม่ใช่ว่าจะตามใครไป ใครบอกเราก็เชื่อ ใครบอกเราก็เชื่อ อย่างนั้นไม่ใช่ปัญญาของเรา แต่เวลาที่มีใครไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสถาม ให้คนนั้นตอบ ซึ่งคนนั้นต้องคิด เป็นความคิดของเขาเอง เป็นความเข้าใจของเขาเอง ถ้าตอบถูก หมายความว่าเข้าใจถูก ถ้าตอบไม่ถูก หมายความว่า ความเข้าใจของเขายังไม่ถูก
เพราะฉะนั้น ประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่ได้รับจากการตรัสรู้แล้วทรงแสดงธรรม คือเราสามารถที่จะศึกษาคำสอน แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจ จนกระทั่งค่อยๆ รู้ความจริงของสภาพธรรมได้ สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ตรัสไว้เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่เราก็เป็นผู้ที่มีบุญที่ได้สั่งสมมาในอดีต แม้ว่า ณ ที่นี้ไม่ใช่พระวิหารเชตวัน แต่ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังก็คือพระธรรมที่ตรัสที่พระวิหารเชตวัน ข้อความก็เรื่องสภาพธรรมที่มีจริงขณะนี้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าเราสะสมปัญญามาพอ สามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมในขณะนี้ได้
ง่วงนอน เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมคะ ขณะนี้มีสภาพธรรม ๒ อย่าง ทุกอย่างในชีวิตของเรา เราต้องมีปัญญาที่สามารถที่จะบอกได้ ถ้าเรามีความเข้าใจถูกว่า รูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่นามธรรมเป็นสภาพที่รู้ สภาพที่จำ สภาพที่คิด ทุกอย่างที่ไม่ใช่รูปธรรม เป็นนามธรรม
เพราะฉะนั้น ง่วงนอนเป็นอะไรคะ นามธรรม ถูกต้อง ถ้าลึกลงไปอีกก็จะถามว่าเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก แต่ตอนนี้ยังไม่ถาม เพราะว่าจิต เจตสิก ต้องเกิดพร้อมกัน เพราะฉะนั้น จิตต้องมีแน่นอน แต่ขณะนั้นง่วงก็เป็นเจตสิก เพราะว่าจิตไม่ง่วง จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เป็นธาตุที่เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเห็นเป็นจิต ไม่ใช่เจตสิก ขณะที่กำลังได้ยินเป็นจิต เพราะอะไรคะ เพราะกำลังได้ยินเสียงซึ่งต่างกัน แต่จิตก็สามารถจะรู้ความต่างของเสียง เสียงกลอง เสียงปี่ เสียงขลุ่ย เสียงพัดลม เสียงนก ต่างกันมาก แต่จิตเป็นสภาพที่สามารถรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ รู้ลักษณะที่ต่างๆ กัน แต่ไม่ใช่อย่างปัญญาที่เป็นความเห็นถูก เป็นความเข้าใจถูกในสภาพธรรม
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจลักษณะของจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เป็นมนินทรีย์ในการรู้แจ้งอารมณ์ แต่เจตสิกเกิดกับจิต ดับพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต แล้วก็มีลักษณะอาการหลากหลายไปตามประเภทต่างๆ ของเจตสิก ซึ่งทั้งหมดมีเจตสิก ๕๒ ชนิด ง่วงก็เป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง เพราะว่ารูปไม่ง่วงแน่ อยู่อย่างนี้เท่าไร ๒๐ ชั่วโมง ๘๐ ชั่วโมง หลายวัน หลายเดือน หลายปีก็ไม่ง่วง เพราะว่าไม่ใช่นามธรรม