สนทนาธรรมที่สหรัฐเมริกา ๔๒


    สนทนาธรรมที่สหรัฐเมริกา ๔๒


    ผู้ฟัง อยากขอให้อาจารย์ขยายความหมายโลภะ

    ท่านอาจารย์ ได้ยินบ่อย แล้วก็ชอบว่าคนอื่นด้วย ไม่ว่าตัวเอง ดูเหมือนว่าคนโน้น โลภะเยอะมากเลย พันล้านหรืออะไรต่างๆ เหล่านี้ก็ตามแต่ แต่ว่าโลภะหมายความถึงสภาพธรรมที่ติดข้อง ไม่ว่าจะหนักเบาประการใด น้อยมากประการใด โลภะก็เป็นโลภะ คือเป็นความติดข้อง เหมือนไฟ จะน้อยหรือจะมากก็ร้อน ไฟกองใหญ่ก็ร้อนมาก กองเล็กก็ยังร้อน ไฟนิดเดียวก็ร้อน สิ่งที่เหม็น กลิ่นไม่สะอาด นิดเดียวก็ไม่สะอาด เหม็น จะมากก็คือเหม็นมาก เพราะฉะนั้น โลภะก็เป็นสภาพธรรมที่ติดข้อง ติดข้องในอะไร นี่สิคะน่ารู้ ทางตาที่กำลังเห็น ติดข้องแล้วในสิ่งที่ปรากฏ ทางหูที่กำลังได้ยิน ติดข้องแล้วในเสียง ทางจมูกที่ได้กลิ่นก็ติดข้องในกลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรสก็ติดข้องในรส ทางกายที่กระทบสัมผัสก็ติดข้องในกระทบสัมผัส ในสิ่งที่ปรากฏทางกาย

    เพราะฉะนั้นติดข้องหมดทุกวัน วันไหนไม่ติดในสิ่งที่ปรากฏทางตาบ้าง มีไหมคะ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ไม่ใช่วันนี้วันเดียว

    ผู้ฟัง คนตาบอดล่ะคะ ...

    ท่านอาจารย์ เขาอยากเห็น เขาก็อยากได้ยิน พยายามทุกอย่าง จะผ่าตัดหรือจะทำอะไรก็ได้ ขอให้เขาเห็น ขอให้เขาได้ยิน เกิดที่ไหนก็ไม่พ้น ถ้ายังมีความติดข้องก็ติดข้องไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีปัญญาถึงระดับขั้นที่จะดับความติดข้องได้ ซึ่งจะดับได้จริงๆ หมดเมื่อเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ต้องเป็นด้วยปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้

    ผู้ฟัง อาจารย์ ระหว่างโลภะ โทสะ โมหะ อันไหนน่ากลัวที่สุด

    ท่านอาจารย์ โมหะ

    ผู้ฟัง เพราะอะไรคะ

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ จึงได้เกิดโลภะ จึงได้เกิดโทสะ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นอันตรายหรือโทษของโมหะ หรืออวิชชา ความไม่รู้ เขาไม่ชอบโทสะอย่างเดียว ไม่ชอบเลย วันหนึ่งๆ ขออย่าให้ขุ่นใจ ขออย่าให้โกรธ ขอให้สบายๆ เห็นสิ่งสวยๆ ได้ยินเสียงเพราะๆ รับประทานอาหารอร่อย กระทบสัมผัสสิ่งที่ดีๆ ขออย่างเดียว ขอให้สบาย นี่เป็นความติดข้องซึ่งเขาไม่เห็นโทษ เพราะฉะนั้น จะให้เขาเห็นโทษถึงกับเห็นโทษของโมหะ เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่ต้องการเพียงแค่โทสะ แต่โลภะเขาไม่สนใจ

    ผู้ฟัง อยากจะถามอาจารย์ ตั้งใจจะถามนานแล้ว มีปัจจัยอะไรที่ทำให้อาจารย์สละเวลา สละทุกอย่างมาสอนพวกเรา นี่เป็นคำถามของผม.

    ท่านอาจารย์ ก็เกิดมาที่จะเป็นอย่างนี้ แต่ละคนเกิดมาไม่เหมือนกัน ใช่ไหมคะ คนหนึ่งก็เกิดมาที่จะเป็นนักฟุตบอล คนหนึ่งก็อาจจะเกิดมาเป็นคุณหมอใจดี ช่วยเหลือคนต่างๆ แต่สำหรับดิฉันก็เกิดมาที่จะเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เตรียมตัว ไม่เคยคิด ตั้งตอนเป็นเด็กก็ไม่เคยคิดว่า จะเป็นอย่างนี้ ก็มีชีวิตธรรมดาสนุกสนานกับพี่น้องทั้งหลาย จนกระทั่งได้ศึกษาพระธรรม เมื่อได้ศึกษาพระธรรมก็มีความสนใจ แล้วก็เห็นว่า เป็นประโยชน์มาก แล้วคนที่เรียนด้วยกัน ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่สูงอายุทั้งหมดซึ่งท่านก็จากโลกนี้ไปแล้ว ก็เหลือดิฉันคนเดียว ก็ต้องรับภาระหน้าที่ เพราะว่าไม่มีใครที่จะเผยแพร่พระธรรมคำสอน ถ้าไม่ได้ศึกษาจริงๆ


    หมายเลข 9335
    21 ส.ค. 2567