สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๕๓


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๕๓


    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กรุณาอธิบายเรื่องรูปธรรมกับนามธรรมอีกสักนิด ขอบพระคุณค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบต้องตั้งต้นที่คำว่าธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง สงสัยต้อง

    ท่านอาจารย์ ต้องก็ดี เริ่มใหม่เลย

    ธรรมมีหลายความหมาย แต่ความหมายหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนของพระไตรปิฎกส่วนที่ ๓ เพราะว่าพระไตรปิฎกมี ๓ พระวินัยปิฎก ๑ พระสุตตันปิฎก ๑ พระอภิธรรมปิฎก ๑

    เพราะฉะนั้น ธรรมที่เราจะกล่าวถึง เราหมายความถึงธรรมในความหมายของอภิธรรม อภิ แปลว่ายิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น ธรรมส่วนที่ยิ่งใหญ่ ทำไมไม่อยู่ในส่วนอื่น คือพระวินัยไม่เรียกว่าอภิธรรม พระสูตรก็ไม่เรียกว่าอภิธรรม แต่ธรรมส่วนนี้เรียกว่าอภิธรรม เพราะเหตุว่าธรรมส่วนนี้พูดถึงสภาพธรรมที่มีจริง แม้ว่าเราจะไม่เรียกชื่ออะไรเลยทั้งสิ้น แต่สภาพนั้นก็มี เช่นในขณะนี้ ดิฉันก็ไม่รู้จักชื่อทุกคน แต่ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แม้ว่าไม่เรียกชื่อก็มี เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เราจะเรียกชื่อ หรือไม่เรียกชื่อ หรือว่าจะใช้ภาษาอะไรก็ตามแต่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ก็ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ เช่น ลักษณะที่ร้อน ใครกระทบสัมผัส คนนั้นรู้สึกเย็นได้ไหมคะ ไม่ได้ คนหนึ่งจะไปรู้สึกแข็งไหมคะ ถ้าขณะที่กระทบร้อน ต้องเหมือนกันหมด คือลักษณะที่ร้อนปรากฏ ไม่เรียกชื่อได้ไหมคะ ก็ได้ สภาพร้อนนั้นมีจริงๆ นี่คือธรรม

    เพราะฉะนั้น เรากำลังเรียนธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ปรมัตถธรรม มาจากคำ ๓ คำ ปรม ซึ่งภาษาไทยไม่ใช้ตัว ปอ ปลา แต่ใช้ บอ ใบไม้ ของเราก็เป็น บรม แปลว่า ใหญ่ อรรถทั่วไปหมายความถึง ความหมาย แล้วก็ธรรม เมื่อเป็นธรรมที่มีจริง ก็จะต้องมีลักษณะเฉพาะของธรรมนั้นๆ ไม่ปะปนกัน เมื่อมีลักษณะเฉพาะของธรรมนั้นๆ เราก็สามารถอธิบาย เอ่ยถึง แสดงลักษณะของธรรมนั้นให้เข้าใจได้ ซึ่งลักษณะของธรรมนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้

    เพราะฉะนั้น ธรรมส่วนนี้ที่เรากล่าวถึง เป็นสิ่งที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างของธรรมนั้น เป็นปรมัตถธรรม หรืออีกคำจะใช้คำว่า อภิธรรม ก็ได้ เราไม่ได้เรียนสิ่งที่นอกโลก ไม่ได้อยู่ที่นี่ เหลือวิสัยที่จะเข้าใจ แต่เรากำลังเรียนเรื่องสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่เคยรู้เลยว่า เป็นธรรม บางคนไปแสวงหาธรรม เหนือจรดใต้ พอรู้จักธรรม เพียงลืมตาก็เป็นธรรมหมด

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วเมื่อมีธรรมเกิดขึ้น จึงมีความหลงยึดถือสภาพธรรมนั้นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยไม่รู้ความจริงว่า เป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ

    นี่คือธรรมที่เกิด เป็นสภาพธรรมที่ต้องดับ เมื่อเกิดแล้วคงทนอยู่ไม่ได้ ถ้าเรารู้จริงๆ จะทราบว่า เมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ไฟดับเร็วไหมคะ เราจุดเทียนไข เราเห็นแสงไฟ ดับเร็วไหมคะ แสงไฟ แต่ถ้าไม่รู้ อยู่ทั้งคืนจนกว่าเทียนไขนั้นจะหมด แต่ถ้ารู้ ทุกอณูที่ทำให้เกิดแสงไฟเป็นปัจจัยให้แสงไฟนั้นเกิดแล้วก็ดับ ไม่อย่างนั้นก็ต้องไม่มีการดับของเทียนไขเลย ชีวิตก็เหมือนกัน เราคิดว่า เกิดมาแล้วก็เปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยง ตอนตาย แต่ความจริงไม่ใช่เลย เกิดดับทุกขณะ

    เพราะฉะนั้น ความตายมี ๓ อย่าง ขณิกมรณะ ตายทุกขณะจิต กับสมมติมรณะ ตายเวลาที่คนหนึ่งเกิดแล้วสมมติเรียกกันว่าตาย แล้วก็ต้องไปวัด ไปเผา ส่วนสมุจเฉทมรณะ หมายความถึง ดับสนิทจริงๆ ไม่เกิดอีกเลย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นการปรินิพพานของพระอรหันต์ ไม่ใช่เพียงสมมติมรณะซึ่งเพียงตายจากชาติหนึ่ง แล้วก็เกิดใหม่อีกชาติหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมให้ทราบว่า ศึกษาเรื่องทุกสิ่งที่มีจริงในโลก แล้วไม่ใช่แต่เฉพาะในโลกนี้ โลกไหนๆ ก็เหมือนกัน จะไม่พ้นจากธรรมเลย เพราะเหตุว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งมีลักษณะต่างกันเป็น ๒ อย่าง ลักษณะของธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เช่น เสียงเกิดขึ้น เสียงไม่เห็น เสียงไม่ได้ยิน เสียงไม่คิดนึก เสียงเกิดเป็นเสียง แล้วก็ดับ ไม่รู้ด้วยว่าเสียงเป็นเสียง แต่ว่ามีสิ่งที่ทำให้เสียงเกิดปรากฏ คือ ของแข็ง ๒ อย่างกระทบกัน เสียงก็เกิด ไม่ว่าที่ไหน ในครัว ในป่า หรือขณะที่กำลังพูด ถ้าไม่มีลิ้น ไม่มีฟัน ไม่มีปาก หรือไม่มีอะไรที่จะกระทบกัน เสียงก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น เสียงเป็นรูปธรรม

    รูปธรรมที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เราต้องมองเห็น อะไรทั้งหมดที่เกิดขึ้น มีปัจจัยปรุงแต่ง แต่ว่าไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เป็นรูปธรรม ถ้ามีแต่รูปธรรม เดือดร้อนไหมคะ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ ฝนจะตก น้ำจะท่วม ภูเขาไฟจะระเบิด ไม่เป็นไรเลย แต่โลกไม่ได้เป็นอย่างนี้ สภาพธรรมตามความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนี้ เพราะเหตุว่าไม่มีใครไปบังคับ หรือไปสร้าง หรือว่าจะไปทำลายเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดสภาพธรรมได้


    หมายเลข 9346
    21 ส.ค. 2567