สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๕๖


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๕๖


    ผู้ฟัง ฆ่าสัตว์ติดชีวิตมาเยอะเลย ตอนเด็กๆ รุนลูกกุ้งเป็นกระบุงเลย มันเป็น ชนกกรรมหรือเปล่าคะ

    ท่านอาจารย์ ใครจะบอกได้ ถามใครคะ

    ผู้ฟัง ถามอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ต้องไปถามพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะรู้ แต่เรากำลังเรียนเรื่องเหตุกับผล แล้วเรารู้ว่า ชาตินี้เราฆ่ากุ้งตั้งเยอะ ชาติก่อนบวกไปอีก อะไร แล้วไม่ใช่แค่ชาติเดียว ไม่ใช่แค่กุ้ง วาจาเป็นอย่างไร ความประพฤติทางกายเป็นอย่างไร เคยทำอะไรอีก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึง เหตุมีจริง แต่ผลจะเกิดเมื่อไร ก็แล้วแต่ ซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่ท่านพระมหาโมคคัลลานะท่านยังหลีกเลี่ยงผลของกรรมไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราจะไปคิดทำไมให้เสียเวลา เพราะเราไม่รู้ แต่สิ่งสำคัญคือเหตุที่เป็นกุศลจะทำให้เกิดผล คือ จิตที่เป็นวิบากที่ดีเกิด ถ้าเหตุที่เป็นอกุศลยังคงมีต่อไป อกุศลที่เราทำก็เป็นเหตุให้เกิดอกุศลวิบากข้างหน้า แต่ว่าอย่างไรก็ตามการศึกษาธรรมก็ทำให้เราเข้าใจถูก และจะทำให้เราไม่ห่วงใยกังวลสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เพราะว่าช่วยไม่ได้ หมดไปแล้ว คิดถึงทำไม ถ้าคิดถึงด้วยกุศลจิต เราก็จะเปลี่ยนจากการที่จะทำอีก เป็นไม่ทำ แต่ถ้าคิดด้วยอกุศลจิต เราก็จะเดือดร้อน

    ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครเกิดอกุศลเลย แม้แต่ถ้าจะมีคนที่ญาติพี่น้องจากไป ถ้าร้องไห้ พระองค์ก็ทรงแสดงว่า เป็นอกุศลจิต เศร้าหมอง สิ่งที่ควรก็คือกระทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ซึ่งเขาก็มีโอกาสที่จะอนุโมทนา นั่นเป็นสิ่งที่ควร เพราะว่าเป็นกุศล

    เพราะฉะนั้น ต้องทราบว่า นอกจากปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว กรรมนั้นก็ยังทำให้จิต ขณะต่อไปเกิดขึ้นดำรงภพชาติ ไม่ให้สิ้นความเป็นบุคคลนั้นจนกว่าจะตาย เปลี่ยนเป็นคนอื่นไม่ได้ จะต้องเป็นคนนี้แหละตั้งแต่เกิดไปจนตาย แล้วถึงค่อยเปลี่ยน ถ้าอยากจะเปลี่ยน แต่ว่าระหว่างที่เป็นคนนี้ ทำบุญก็ยังเป็นเทวดาทันทีไม่ได้ ทำบาปก็ตกนรกทันทีไม่ได้ จนกว่าจะตายก่อน แล้วกรรมนั้นให้ปฏิสนธิจิตเกิด แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม แค่นี้พอไหมคะ ปฏิสนธิจิตกับภวังคจิต

    ผู้ฟัง ฟังถึงตอนนี้ เพราะฉะนั้น คนเราที่เกิดมานี้เป็นนามธรรมเกิด หรือว่านายประทีปเกิด หรือเป็นจิต เจตสิก หรือรูปเกิด

    ท่านอาจารย์ ไม่มีชื่อ สภาพปรมัตถธรรมมีเพียงจิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นคุณประทีป หรือคุณอะไรๆ ๆ ก็คือจิต เจตสิก รูป ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป ใครก็ไม่มีทั้งนั้น อันนี้ก็คงจะเป็นที่เข้าใจแล้วว่า คือ สภาพธรรมจริงๆ ที่เป็นปรมัตถธรรม ๓ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป โดยสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง คือ นิพพาน ไม่เกิด

    ขอย้อนไปที่เป็นปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรม เพราะว่าทุกคนอยากได้รับผลที่ดี ไม่มีใครอยากได้รับผลของอกุศลกรรมเลย แต่ลืมทำเหตุที่ดี ใจก็ปรารถนาแต่จะได้ผลที่ดี แต่อกุศลจิตก็เกิดไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เหตุกับผลก็ต้องไม่ตรงกัน เพราะว่าถึงแม้อยากจะได้ผลที่ดีสักเท่าไร แต่ผลที่ดีก็ไม่เกิด

    ทีนี้เวลาที่เราพูดถึงผลของกรรม เราทราบแล้วตอนนี้ ขณะเกิดปฏิสนธิจิตดับไปแล้วก็จริง แต่กรรมนั้นแหละ กรรมเดียวกันนั้นที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ก็ทำให้ขณะจิตเกิดต่อไป ไม่ให้ดับ ไม่ให้ตาย ไม่ให้หมด ต้องเป็นภวังค์ จิตนี้เป็นภวังค์ เวลาที่ใช้คำว่า “ภวังค์” หมายความถึงจิต หรือหน้าที่ของจิต ซึ่งจิตทั้งหมดมี ๘๙ หรือ ๑๒๑ โดยพิเศษ แต่มีกิจของจิต ๑๔ กิจ แล้วเราจะค่อยๆ ทราบว่า ๑๔ กิจ ทำกิจไหน เมื่อไร ขณะแรกที่สุด คือ ปฏิสนธิจิต ขณะที่ ๒ คือ ภวังคจิต ขณะนี้เดี๋ยวนี้มีใครมีปฏิสนธิจิตบ้างไหมคะ ไม่มี ภวังคจิตมีไหมคะ มี ก็แสดงให้เห็นว่า ยังไม่ตาย ต้องมีจิตที่ดำรงภพชาติด้วยกรรมที่ทำไว้

    เพราะฉะนั้น บางคนก็อายุสั้น บางคนก็อายุยืน ยังตายไม่ได้ กรรมยังไม่หมด ต้องอยู่ต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาที่สิ้นกรรม ที่คนไทยใช้ภาษาเก่งใช้คำว่า “ถึงแก่กรรม” หมายความถึงเวลาที่สิ้นสุดกรรมที่จะทำให้เป็นคนนี้อีกต่อไป แต่เราพูดสั้น ทีนี้ถ้ามีแต่ปฏิสนธิจิตกับภวังคจิต ก็ไม่เดือดร้อนอีก ไม่เห็นรู้อะไรเลย ตอนเกิดไม่เห็นโลกนี้เลย โลกนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จะมีแสง สี เสียงอย่างไร ก็ไม่เห็น ไม่ได้ยินทั้งหมด เวลาที่เป็นภวังค์ อย่างเวลาที่นอนหลับสนิท ก็ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่ก่อนหลับ รู้ เห็น แต่พอหลับสนิท หมดเลย ไม่มีเหลือเลย เพราะว่าเป็นจิตที่ดำรงภพชาติ เพื่อจะได้รับผลของกรรม เมื่อตื่นแล้วเห็น แล้วแต่ว่าจะเห็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ก็เป็นผลของกรรม

    เพราะฉะนั้น เราย่อยจิตเป็นขณะหนึ่งๆ ๆ ที่จะพูดว่า จิต ๔ ชาตินี้ ก็ต้องจิตขณะนั้นเป็นชาติอะไร อย่างปฏิสนธิจิตเป็นชาติอะไรคะ วิบาก ภวังคจิตเป็นชาติอะไร เป็นวิบาก เห็นไหมคะ แล้วก็กรรมในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ มีรูปด้วย ไม่ได้ทำให้แต่เฉพาะจิตกับเจตสิกเกิด ยังทำให้มีรูปซึ่งเกิดจากรรม เพื่อที่จะได้รับผลของกรรม

    รูปที่เกิดจากกรรม ก็คือ จักขุปสาท รูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบตา โสตปสาท รูปพิเศษที่สามารถกระทบเสียงที่ทำให้มีการได้ยินเดี๋ยวนี้ มีใครมองเห็นจักขุปสาทไหมคะ โสตปสาท สิ่งที่เห็นได้เป็นรูปชนิดหนึ่ง คือ วัณณะ หรือวัณโณ หมายความถึงสี หรือแสงสว่าง ที่ทำให้ปรากฏทางตาได้ เพราะฉะนั้น กรรมทำให้มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย

    ถ้าจะกล่าวเลยไปอีกนิดหนึ่ง คือ อายตนะ ต่อไปก็คงจะเจออีกหลายศัพท์ แต่ว่าก็คือมาจากสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูป นั่นเอง เพราะฉะนั้น เรียนพื้นฐานให้มั่นคง ให้เข้าใจจริงๆ แล้วพอถึงเวลาที่ไปพบคำไหนก็รู้ว่า คำนั้นได้แก่ปรมัตถ์อะไร

    เพราะฉะนั้น กรรมก็ทำให้ตา หู จมูก ลิ้น กายเกิด เป็นทางที่จะรับผลของกรรม ให้ทราบว่า กรรมทำทั้งหมดเลย ตั้งแต่เกิดมามีปฏิสนธิจิต มีภวังคจิต แล้วก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย เรายังไม่ไปถึงละเอียดว่า ขณะแรกที่จิตเกิดประกอบด้วยรูปกี่รูป กี่กลุ่ม กี่กลาป แต่ให้ทราบว่า กรรมทำให้มีรูปเกิดด้วย แต่ว่ารูปที่ไม่ได้เกิดจากกรรมก็มี รูปที่เกิดจากจิตก็มี รูปที่เกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อนก็มี รูปที่เกิดจากอาหารก็มี เพราะว่าถ้ามีแค่รูปที่เกิดจากกรรมอย่างเดียวเท่านั้นไม่พอ นิดเดียวเองที่จักขุปสาท นิดเดียวเองที่โสตปสาท แล้วก็กายปสาทก็ซึมซาบอยู่ทั่วตัว แต่ต้องอาศัยรูปอื่นด้วย แต่ให้ทราบว่า ทางรับผลของกรรม มี ๕ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตาบอดดีไหมคะ จะได้ไม่ต้องเห็น เห็นดีกว่าใช่ไหมคะ เพราะว่าเห็นสิ่งที่ดีก็ได้ เห็นสิ่งที่ไม่ดีก็ได้ แล้วแต่กรรม แต่ข้อสำคัญกว่านั้นก็คือว่า หลังจากที่เห็นแล้ว เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล

    นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะอะไรคะ เพราะเราห้ามกรรมไม่ได้ว่า จะไม่ให้วิบากเกิดทางตา หรือทางหู แต่ว่าหลังจากนั้นแล้ว ถ้าคนที่มีปัญญาฟังธรรม แต่ก่อนนี้เคยโกรธ ถ้าสะสมกุศลมากๆ มากๆ มากทีเดียว กุศลเกิดแทนอกุศลได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่รู้ตัวเองว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดมากที่ว่า ทันทีที่เห็นแล้วจะเป็นกุศลแทนอกุศล หรือว่าทันทีที่เห็นแล้วก็ไม่รู้อะไร ก็มีความชอบอย่างบางที่สุดโดยไม่รู้ตัวเลย ที่เป็นอาสวะ ที่ไม่ใช่เป็นอนุสัย แต่ว่าเป็นระดับของอาสวะ

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เราเริ่มไปถึงสังสารวัฏฏ์แล้วใช่ไหมคะ กิเลสวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิดกรรมวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิดวิปากวัฏฏ์ เพราะมีกรรมจึงมีวิบาก เมื่อมีวิบากแล้วไม่ได้หมดกิเลสเลย ทันทีที่เห็นกิเลสเกิดต่ออีก แล้วก็เป็นเหตุให้กระทำกรรมอีก แล้วก็เป็นเหตุให้เกิดวิบากอีก ถ้าไม่รู้ก็ไม่มีทางที่จะพ้นไปได้เลย ก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ เป็นอย่างนี้มานานเท่าไรก็ไม่ทราบ แล้วก็จะต้องเป็นต่อไปอีกนานเท่าไรก็ไม่ทราบ ถ้าไม่มีปัญญาที่จะรู้ความจริง แต่ยังชอบอยู่ใช่ไหมคะ จริงๆ ค่ะ เราต้องเป็นผู้ตรง ธรรมต้องเป็นผู้ตรงมาก แล้วมีเหตุผลทุกอย่าง ยังอยากเกิดอีกใช่ไหม ยังไม่อยากตายใช่ไหม ยังชอบที่จะเห็น จะได้ยินใช่ไหม เพราะอะไรคะ เพราะปัญญาไม่ถึงระดับที่จะหน่าย หรือจะคลายความติดข้องในสิ่งที่เคยติดมานานแสนนาน ถ้ามีคนหนึ่งเขาบอกว่าเบื่อ โดยที่ไม่มีปัญญาเลย เพราะอะไร เบื่ออะไร เบื่อเห็นหรือเปล่า เบื่อเรื่องราวของสิ่งที่เห็นมากกว่า เบื่อเรื่องราวที่ได้ยิน แต่ไม่ใช่เบื่อสภาพธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดเห็นแล้วก็ดับ ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลยสักอย่างเดียว ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา เพราะไม่รู้ แท้ที่จริงก็คือนามธรรม และรูปธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ ไม่ต้องกลัวเลย อย่างไรๆ ก็ไม่หมดกิเลส เพียงแค่ฟังทำอะไรกิเลสไม่ได้เลย ไม่มีใครฟังแล้วเป็นพระอรหันต์ ถ้าปัญญาอีกระดับหนึ่งไม่เกิด ไม่มีใครที่ฟังแล้วเป็นพระโสดาบัน ถ้าไม่รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่ง่าย

    ไม่ทราบคุณแจ๊คจะพูดถึงท่านหนึ่งซึ่งมาที่นี่ เพราะว่าโปรเฟสเซอร์ของเขาจะให้มาถ่ายรูปคนที่บรรลุอริยสัจธรรม เมื่อเช้านี้เอง

    เพราะฉะนั้น เขาถึงได้มาแสวงหา มาตามวัดไทย เพราะคิดว่าจะมีผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่เขาไม่รู้เลยว่า อริยสัจธรรมคืออะไร รู้แจ้งอริยสัจธรรมคืออะไร แล้วเขาจะหาอะไร สิ่งที่เขาถ่ายไปก็คือรูป ไม่ใช่อริยสัจธรรม ไม่ใช่คนที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้น พอสนทนากันเสร็จแล้วเขาก็บอกว่า เขาไม่มีทางสำเร็จวิชานี้ เพราะว่าเขาไม่รู้ว่า ใครเป็นพระอริยบุคคล ต้องเขาเป็นเมื่อไร เขาถึงจะรู้ได้ว่าใครเป็น

    เพราะฉะนั้น ถ้าเขาบังเอิญไปเจอใครที่บอกว่าเป็น กับคนที่บอกหนทางที่จะทำให้ปัญญาเขาเกิด เขาลองคิดดูสิว่า อันไหนเป็นความจริง ใครก็พูดได้ว่าเป็น แต่รู้อะไร เพราะฉะนั้น เขากลับไป เขาก็บอกว่าไม่เอาแล้ว คือ หาไม่เจอ ไม่มีทาง ถ้าถ่ายไปก็ให้ โปรเฟสเซอร์หาเองว่า อยู่ตรงไหน ไม่มีทางที่จะไปถ่ายรูปคนที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้เลย


    หมายเลข 9349
    21 ส.ค. 2567