สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๖๔


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๖๔


    ท่านอาจารย์ อายตนะมีเท่าไรคะ เมื่อกี้นี้ทราบแล้วใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ๑๒ ค่ะ อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖

    ท่านอาจารย์ เวลาที่จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้น อย่างที่ปฏิจจสมุปปาท อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่เป็นกรรม สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดผล คือ วิบากจิต ปฏิสนธิจิตเป็นต้น วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เวลาที่มีปฏิสนธิจิตเกิด ต้องมีเจตสิก และรูปเกิดที่นั้น

    เพราะฉะนั้น คำว่านามรูปของปฏิจจสมุปปาท ซึ่งเกิดจากวิญญาณเป็นปัจจัย พร้อมกันในขณะปฏิสนธิ ปฏิสนธิจิตก็เป็นปัจจัยให้เจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วก็เป็นปัจจัยให้กัมมชรูปเกิด ตอนนี้เข้าใจ นามรูปเป็นปัจจัยให้อะไรเกิด

    ผู้ฟัง ภายนอกหรือภายในคะ

    ท่านอาจารย์ ที่นี่เป็นภายใน สำหรับปฏิจจสมุปปาท แต่ต้องรวมภายหลัง ถึงภายนอกด้วย แต่อะไรเกิดก่อน

    ผู้ฟัง ภายในเกิดก่อน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น นามรูปก็เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ แต่จริงๆ เป็นการลำดับมา จะลำดับมาลำดับไปอย่างไรก็ตามแต่ แต่เราก็ต้องเข้าใจตั้งแต่ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต เรื่อยมาจนกระทั้งถึงเวลาที่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่จะรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่จะปรากฏอารมณ์อื่นนอกจากอารมณ์ของภวังค์ เพราะว่าปฏิสนธิกับภวังค์ไม่มีอะไรปรากฏเลย อยู่ไปเถอะ เป็นภวังค์ไป ก็ไม่มีอะไรปรากฏ ไม่ว่าจะภพไหนภูมิไหนทั้งสิ้น ไม่คิด ไม่นึก ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่อะไรทั้งหมด เป็นแต่เพียงจิตที่เกิดแล้วก็รู้อารมณ์ที่เป็นอารมณ์ของปฏิสนธิกับภวังค์เท่านั้น แต่ที่เรามีชีวิตทุกวันนี้ เราไม่ได้มีแต่ภวังคจิต เรามีวิถีจิตด้วย เพราะฉะนั้น การที่จะมีวิถีจิตก็จะต้องมีอายตนะ มีธรรมที่จะประชุมกันตรงนั้นที่จะทำให้เกิดการรู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ด้วย

    สำหรับอายตนะทั้งหมดมี ๑๒ เป็นภายใน ๖ ภายนอก ๖

    ภวังคุปเฉทะ เป็นมนายตนะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่ เพราะเป็นจิตทั้งหมด จิต ๘๙

    ท่านอาจารย์ เป็นทวารหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นทวารทางมโนทวาร

    ท่านอาจารย์ เป็นมโนทวาร

    ท่านอาจารย์ โลภมูลจิตเป็นมนายตนะ หรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง ใช่ เพราะว่าเป็นจิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวว่า มนายตนะ ได้แก่ จิตทุกดวง เพราะว่าถ้าไม่มีจิตก็จะไม่มีการรู้อารมณ์เลยทั้งสิ้น แล้วก็จิตทุกประเภทก็รู้ด้วย แม้แต่ภวังคจิตก็รู้อารมณ์ แต่ว่าไม่ได้รู้อย่างทางทวารอื่น

    เพราะฉะนั้น เวลาที่พูดถึงอายตนะภายนอก ก็หมายความถึงสิ่งที่มนายตนะรู้ แต่เวลาที่พูดถึงอายตนะที่เป็นภายใน เพราะฉะนั้น คล้ายๆ กับทวารหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง ก็ไม่ใช่ทวาร

    ท่านอาจารย์ ถูกค่ะ แต่คำถามว่า จำนวนกับประเภทคล้ายกับทวารหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คล้ายกัน จำนวนเท่ากัน คล้ายกัน

    ท่านอาจารย์ จำนวนเท่ากัน เพราะทวารก็ ๖ อายตนะก็ ๖ แล้วทวารก็เป็นรูป ๕ เป็นนาม ๑ ความต่างอยู่ตรงไหน

    ผู้ฟัง ความต่างอยู่ที่ว่า ถ้ามีอายตนะแล้ว ต้องมีการประชุม

    ท่านอาจารย์ ทีนี้ถ้าพูดถึงอายตนะภายใน ๖ กับทวาร ๖ จำนวนเท่ากัน แล้วก็อายตนะ ๖ ก็เป็นรูป ๕ เป็นนาม ๑ แล้วก็ทวารก็เป็นรูป ๕ เป็นนาม ๑ ๒ อย่างต่างกันหรือเหมือนกันตรงไหนอย่างไร

    ผู้ฟัง ความต่างกันของทวาร ๖ กับอายตนะ ๖ ก็คือว่าตอนเป็นทวาร เป็นทางเกิด แต่ว่าขณะนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นที่ประชุม อาจจะไม่มีอารมณ์ของจิตอันใดอันหนึ่งเกิดขึ้น แต่ว่าถ้าเป็นอายตนะแล้วจะต้องเป็นที่ประชุม ต้องมีทั้งอารมณ์กับจิตประชุมกัน แต่ว่าตอนที่เป็นทวาร ถ้ายังไม่เป็นจิตไม่เป็นทวาร ยังไม่เป็นวัตถุ ไม่เป็นที่เกิดของจิต ตามความเข้าใจของเรา แต่ว่าตอนที่เป็นอายตนะจะต้องมีทั้งอารมณ์ด้วย แล้วก็จิตเกิดขึ้นด้วย

    ท่านอาจารย์ ทวาร ๖ ที่เราพูดถึง เป็นรูป ๕ เป็นนาม ๑ อายตนะ ๖ ก็เป็นรูป ๕ เป็นนาม ๑ ๒ อย่างจะต่างกันหรือเหมือนกันตรงไหนอย่างไร

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ต่างกันตรงนี้ ทำให้เราเข้าใจความต่างของทวารกับอายตนะ เพราะตอนนั้นมุ่งที่จะกล่าวถึงทวาร แต่ตอนนี้มุ่งที่จะกล่าวถึงความเป็นอายตนะที่ประชุม ที่ต่อ

    ทีนี้พอพูดถึงเรื่องทวาร ก็พูดถึงทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ถ้าไม่มีทาง จิตก็ไม่ได้รู้อารมณ์อื่น ก็เป็นภวังค์ไปเรื่อยๆ แต่ที่จะรู้อารมณ์อื่น คือ จิตไม่เป็นภวังค์อีกต่อไป ต้องอาศัยอะไรเป็นทวารบ้าง ก็มีรูป ๕ นาม ๑ พอพูดถึงวัตถุ ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องทวาร ไม่ได้พูดถึงอารมณ์ แต่พูดถึงเรื่องที่เกิดของจิต มีเท่าไรคะคุณโอ๋

    ผู้ฟัง มีวัตถุ ๖

    ท่านอาจารย์ เป็นรูปเท่าไร เป็นนามเท่าไร

    ผู้ฟัง รูป ๖ หทยรูป ๑ ปสาทรูป ๕

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราพูดเรื่องวัตถุ ไม่มีทางที่เราจะไปพูดถึงทวาร เพราะเรากำลังพูดถึงรูปที่เป็นที่เกิดของจิต เราต้องกลับมาที่รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต พอพูดถึงทวารเราก็ต้องกลับไปพูดถึงทางที่จิตอาศัยเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่น พอพูดถึงอารมณ์ เราก็ต้องกลับไปหาสิ่งที่จิตรู้ว่า รู้อารมณ์ทางไหนบ้าง

    รูปารมณ์รู้ได้ ๒ ทาง คือ ทางตากับทางใจ เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงธัมมารมณ์หมายความถึงที่รู้ได้เฉพาะทางใจทางเดียว เวลาที่จิตรู้รูปารมณ์ทางใจ รู้ธัมมารมณ์หรือเปล่า

    ผู้ฟัง อาจารย์ช่วยถามอีกที

    ท่านอาจารย์ มโนทวารรู้รูปารมณ์ได้ ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เวลาที่มโนทวารรู้รูปารมณ์ ขณะนั้นมโนทวารรู้ธัมมารมณ์หรือเปล่า

    ผู้ฟัง รู้ เพราะว่าเป็นอารมณ์ทางใจ ก็ต้องเป็นธัมมารมณ์ ความเข้าใจของโอ๋ คิดว่าเขารู้ทางใจก็ต้องเป็นธัมมารมณ์

    ท่านอาจารย์ ใช่คะ อารมณ์ ๖ ตายตัว เปลี่ยนไม่ได้ รูปารมณ์ต้องเป็นรูปารมณ์ ไม่ว่าจะรู้ทางไหน เปลี่ยนสภาพของรูปารมณ์ไม่ได้ รูปารมณ์ได้แก่อะไร สิ่งที่ปรากฏทางตา สัททารมณ์ได้แก่อะไร ได้แก่เสียง เวลาที่มโนทวารวิถีจิตรู้เสียง เปลี่ยนเสียงไม่ได้ ให้เป็นอย่างอื่นไมได้ เสียงยังคงเป็นเสียง เสียงยังคงเป็นสัททารมณ์ เพราะฉะนั้น จะเปลี่ยนลักษณะของสัททารมณ์ให้เป็นธัมมารมณ์ไม่ได้ อารมณ์ไหนก็อารมณ์นั้น รูปารมณ์ก็ต้องเป็นรูปารมณ์ สัททารมณ์ก็ต้องเป็นสัททารมณ์ จะให้สัททารมณ์มาเป็นธัมมารมณ์ ไม่ได้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น คำตอบก็คือไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ธัมมารมณ์ เราตายตัว ได้แก่อะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ทุกอย่างที่ไม่ใช่อารมณ์ ๕ ทุกอย่างนอกจากอารมณ์ ๕ แล้วเป็นธัมมารมณ์

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าสามารถจะรู้ได้เฉพาะทางใจทางเดียว


    หมายเลข 9357
    21 ส.ค. 2567