สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๖๕
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๖๕
เราจะรู้ได้เลยว่า จักขุปสาทมีความสำคัญมาก ในรูปทั้งหมดทั่วตัว มหาภูตรูปเป็นใหญ่เป็นประธานจริง แต่มหาภูตรูปไม่ใช่ทวาร อ่อน แข็ง เย็น ร้อน ธรรมดาๆ ไม่ใช่ทวาร ไม่ใช่ทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ มหาภูตรูปก็ไม่ใช่ที่เกิดของจิตด้วย ทั้งๆ ที่เป็นรูปที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน แต่ว่ารูปที่จะมีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกับจิตมี ๕ รูป คือ ถ้าปราศจากจักขุปสาทรูป โสตปสาทรูป ฆานปสาทรูป ชิวหาปสาทรูป กายปสาทรูป อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้แต่คิดนึกโดยอาศัยใจ
เพราะฉะนั้น เราต้องทราบเลยว่า เวลาที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ขณะนั้นรูปอื่นก็มี แต่รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้วทั้งหมด แล้วไม่เกี่ยวข้องกับการที่จิตกำลังเห็นในขณะนี้เลย มหาภูตรูปตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าไม่ใช่ไม่มี มีแล้วก็เกิดดับ โสตปสาทรูปก็มี เกิดดับ เพราะเหตุว่าเป็นรูปที่เกิดจากกรรม แต่ชั่วขณะที่เห็น รูปที่สำคัญที่สุดคือจักขุปสาทรูป เป็นอินทรีย์ เป็นจักขุนทรีย์ เป็นใหญ่เป็นประธาน ขณะนั้นมหาภูตรูปไม่ได้เป็นใหญ่เลย เพราะเป็นแต่เพียงประธานของรูปที่จะอาศัยเขาเกิด แต่ว่าจักขุปสาทในขณะนั้น ถ้าไม่มี เห็นไม่มีเลย
เพราะฉะนั้น รูปที่สำคัญที่สุด มีเหมือนไม่มีทั้งหมด เว้นพวกนี้ แล้วเว้นชั่วขณะที่จิตประเภทนั้นๆ เกิด เช่นในขณะที่จิตได้ยินเกิด จักขุปสาทก็ไม่มีความหมายอะไร เกิดแล้วก็ดับไป ไม่เป็นทวาร ไม่เป็นอายตนะ ไม่ได้ประชุมอยู่ในที่นั้น เกิดแล้วก็ดับไป ขณะที่จิตได้ยินเกิด ก็ต้องเป็นโสตปสาทรูปที่กระทบ ประชุมตรงนั้นที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง เพราะฉะนั้น ตรงนั้นจึงเป็นอายตนะภายใน เราก็จำได้เลย ใช่ไหมคะ รูปทั่วตัว ที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวเนื่องกับจิตเป็นรูปภายในมีเพียง ๕ นอกจากนั้นเป็นรูปภายนอกทั้งหมด ถ้าแยกรูป ๒๘ ออกเป็นประเภทๆ รูปภายในมี ๕ รูป คือ จิตต้องอาศัยรูป ๕ รูปนี้สำหรับที่จะรู้อารมณ์ เป็นภายในจริงๆ เป็นอายตนะ ขณะนั้นที่จะเกิดการเห็นขึ้น หรือขณะที่กำลังเห็นขาดจักขุปสาทไม่ได้ เป็นอายตนะต้องอยู่ตรงนั้น ต้องมีตรงนั้น ต้องเกิดตรงนั้น ยังดับไม่ได้ด้วย รูปารมณ์ก็ต้องกระทบอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน ยังดับไม่ได้ด้วย ๒แล้ว แล้วยังมีอะไรอีกที่ตรงนั้นที่เป็นที่พบ ที่ประชุม ที่เกิด มนายตนะ ก็ต้องมีที่นั้น แล้วอีกคือเจตสิก คือ ธัมมายตนะก็ต้องอยู่ตรงนั้น
อย่าลืมว่าที่เจตสิกเป็นธัมมายตนะ เป็นภายนอก แสดงว่าเจตสิกจะเป็นภายในไม่ได้เลย มนายตนะหรือจิตเท่านั้นที่เป็นภายใน ทั้งๆ ที่เจตสิกก็เกิดกับจิต อาศัยจิต แต่จิตเป็นประธาน เป็นใหญ่ ที่ไหนมีมนายตนะ ที่นั่นต้องมีธัมมายตนะ คือ เจตสิกซึ่งประชุมอยู่ตรงนั้นด้วย เวลาที่จิตเกิด เจตสิกต้องมีอยู่ตรงนั้นด้วย แต่เวลาที่จิตนั้นมีจิตอื่น หรือเจตสิกที่เกิดกับจิตอื่นเป็นอารมณ์ แสดงให้เห็นว่า ต้องเป็นการเกิดดับสืบต่อกันของจิต และเจตสิก ไม่ใช่เป็นสภาพของจิตจริงๆ ซึ่งกำลังทำหน้าที่เป็นอายตนะตรงนั้น แต่ว่าสามารถจะเป็นอารมณ์ เพราะเหตุว่ามีการเกิดดับสืบต่อจนปรากฏที่จะทำให้เรารู้ได้ เช่น จิตเห็นในขณะนี้ ไม่ใช่ ๑ ขณะเลย ที่กำลังเห็นขณะนี้ เป็นจิตเห็นซึ่งตามวาระหรือวิถีที่กล่าวถึงแล้ว จะต้องเป็นวิถีจิตตลอดไปจนกระทั่งรูปารมณ์ดับ แล้วก็เป็นภวังค์คั่น แล้วก็มโนทวารวิถีจิตก็เกิด แล้วก็รู้รูปารมณ์นั้นต่อ แล้วก็ยังมีมโนทวารวิถีอื่นอีก แล้วก็คั่นจิตเห็นนี้เรื่อยๆ แต่การเกิดดับของจิตที่เร็วสุดจะประมาณได้ ก็สามารถที่จะรู้ว่า สภาพเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะที่มีรูปปรากฏ ก็จะต้องมีสภาพรู้หรือธาตุรู้นั้นด้วย
เพราะฉะนั้นในขณะนั้นไม่ใช่ตัวจิตจริงๆ แต่เป็นการเกิดดับของจิตที่เร็ว ยังสามารถที่จะรู้ได้ว่า เป็นลักษณะของจิต หรือเป็นลักษณะของเจตสิกซึ่งเป็นอารมณ์ แต่ ไม่ใช่เป็นอายตนะ ถ้าเป็นอายตนะก็ต้องเป็นตัวจิตกับเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกันที่นั่นเป็นอายตนะ ก็เป็นปรมัตถธรรม ที่มีอยู่ตรงนั้นจริงๆ