สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๖๖


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๖๖


    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ขณะใดที่สติเกิด เราก็ทราบว่า ขณะนั้นเรามีสติ เวลาสติเกิดก็ต้องตรงกับปริยัติที่เราเรียนมาโดยที่เราไม่ต้องถามเลยว่า ใช่สติหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นสติปัฏฐาน ก็ต้องเป็นองค์ของมรรคมีองค์ ๘ ต้องประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเจตสิก การอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องเฉพาะตัว จะไปบอกว่าขณะนี้สติของคุณทศพรเป็นสติปัฏฐานหรือเปล่า ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้

    ผู้ฟัง สรุปแล้วสติมีหลายประเภท สติที่เป็นองค์มรรคกับสติทั่วๆ ไป

    ท่านอาจารย์ สติเจตสิกเกิดกับโสภณจิตทั้งหมด

    ผู้ฟัง อันนี้ที่เกิดกับโสภณจิต เป็นองค์มรรคด้วยหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ไม่ค่ะ ขณะที่ให้ทาน ถ้าสติไม่เกิด ก็ไม่มีการระลึกที่จะให้ ตั้งแต่เช้ามาตื่นมาเป็นเรื่อง เรา หมดเลย วันนี้เราจะทานอะไร เราจะไปซื้ออะไร เราจะทำอะไรทั้งหมด แต่เรื่องที่จะสละเพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่น ขณะนั้นต้องเป็นโสภณเจตสิกที่เกิดกระทำกิจของเจตสิกนั้นๆ อย่างสติ เวลาที่มีการให้ เราคิดว่า เราให้ แต่ความจริงถ้าสติไม่ระลึกเป็นไปในการให้ การให้ก็ไม่มี อย่างแข็ง เรากระทบแข็งตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ หรือเปล่า แต่สติระลึกลักษณะของแข็ง หรือสภาพที่รู้แข็งหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น ขณะใดที่แข็งปรากฏในชีวิตประจำวันที่ไม่ใช่สติปัฏฐาน แข็งนั้นกายวิญญาณ ไม่ใช่เรา เป็นสภาพที่รู้แข็งเมื่อกระทบกับกายปสาท แล้วผ่านไปเป็นเรื่องเป็นราวหมดเลย พอแข็งนิดเดียวก็จาน พอแข็งนิดเดียวก็คุกกี้ พอแข็งนิดเดียวก็ถ้วยแก้ว พอแข็งนิดเดียวก็โต๊ะ สั้นมาก การที่รู้ว่า แข็งเป็นสภาพธรรมที่เพียงเกิดแล้วดับ ไม่มี

    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานก็คือว่า สภาพธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน ซึ่งเราศึกษาแล้วทราบว่า เป็นธรรมทั้งหมด เป็นปรมัตถธรรม แต่เป็นเรื่องที่เราเข้าใจ ยังไม่ใช่ระดับขั้นที่สติจะระลึกลักษณะแล้วก็รู้ว่า ลักษณะที่เราศึกษามานี้มีจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทางตาก็ต้องปรากฏอย่างนี้ ไม่ผิดไปจากอย่างนี้ ทางหู เสียงก็ปรากฏตามปกติ ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามปกติ

    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐาน ก็คือ เมื่อไรที่เกิดก็ระลึกลักษณะสภาพธรรมตามปกติ ไม่ต้องไปทำด้วยความเป็นเรา หรือมีวิธีการต่างๆ ที่จะทำ นั่นไม่ใช่สัมมาสติในมรรคมีองค์ ๘

    จริงๆ แล้วเราไม่ควรจะคิดว่า เราไม่มีสภาพธรรมดีกว่า หรือว่าไม่รู้สภาพธรรม ดีกว่า เพราะเป็นไปไม่ได้ที่อกุศลทั้งหลายจะหมดไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก่อนนี้เราไม่เคยรู้ลักษณะของวิจิกิจฉาเลย บางคนก็ไม่มี เพราะไม่คิดเรื่องนี้ ไม่มีเกิด แต่วิจิกิจฉานุสัยมีเต็ม ถ้าปัญญาไม่เกิดละไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น เริ่มเห็นสภาพธรรมตามที่สะสมมาตามความเป็นจริง เพื่อจะรู้ว่า สภาพนั้นๆ ไม่ใช่เรา ทั้งหมด ถ้าระลึกแล้วรู้ชัด ไม่ต้องอบรม เดี๋ยวเดียวก็เป็นพระอรหันต์แล้วถ้าระลึกแล้วรู้ชัด แต่วิจิกิจฉามีทำไม แล้วมีจริงๆ ด้วย บอกไว้ด้วยว่า เป็นวิจิกิจฉา แต่เราไม่เคยเห็นตัว เพราะฉะนั้น พระโสดาบันท่านละวิจิกิจฉา ความสงสัยในสภาพธรรม แล้วก็ละความเห็นผิดด้วย


    หมายเลข 9359
    21 ส.ค. 2567