สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๖๙
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๖๙
ผู้ฟัง สงสัยว่าบุคคลที่เจริญฌานก็ต้องมีปัญญา ถึงแม้จะไม่ใช่ปัญญาขั้นหลุดพ้น แต่ก็จะมีปัญญาที่จะรู้ว่า สิ่งไหนเป็นกุศล สิ่งไหนเป็นอกุศล มีความรู้สึกว่าบุคคลที่เจริญฌานแล้ว ก็ย่อมมีปัญญามากกว่าบุคคลที่ยังไม่เคยเจริญฌาน แต่ยังไม่เคยเจริญสติปัฏฐานเลย เพราะฉะนั้น ผมก็เลยมีความสงสัยว่า ตั้งต้นใหม่หมดนี้หมายความว่าอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ปัญญาระดับของฌานไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ถึงจะเป็นปฐมฌานก็คือเรา กุศลจิตที่เกิดก็คือเรา อกุศลจิตที่เกิดก็คือตัวตน เป็นเรา ยังมีความเป็นเราอยู่
ผู้ฟัง หมายถึงว่าการเจริญสติปัฏฐาน สติปัฏฐานเกิดมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์แต่ว่าการเจริญฌานมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ดังนั้นการเจริญฌานที่จะมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ความเป็นอัตตาก็ยังมีปรากฏครบถ้วนอยู่ ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้ดับเลย คุณซีไม่รู้ใช่ไหมว่า อาจจะเคยได้ฌาน ไปเกิดในพรหมโลกมาแล้ว เป็นไปได้ไหม แต่ก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ เต็มไปด้วยความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องเรียนใหม่ ต้องตั้งต้นใหม่ ต้องรู้ใหม่
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ ถ้าอย่างนั้น เป็นไปได้ไหมว่า ผู้ที่อบรมเจริญฌาน ไม่ได้ศึกษาให้ละเอียดว่า กุศลที่สูง แล้วก็ยิ่งกว่าฌานคือการเจริญอบรมวิปัสสนาภาวนา แล้วบุคคลผู้นั้นไม่ได้ศึกษาให้รู้ กระผมคิดว่าถ้าเขาเข้าใจการอบรมสมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนาเป็นอย่างไรแล้ว ตามความเข้าใจของกระผม เขาจะไม่หันกลับไป อบรมสมถภาวนา อันนี้เป็นความถูกต้องไหมที่ ผมเข้าใจอย่างนี้
ท่านอาจารย์ เราไม่สามารถที่จะมีพลญาณอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สามารถจะทราบอดีตชาติ และการสะสมของแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้น ข้อความในพระไตรปิฎกกว้างขวางมาก บางทีเราจะไปพบข้อความที่ทรงแสดงกับผู้ที่พระองค์จะทรงรู้อัธยาศัยว่า บุคคลนี้สามารถที่จะได้ฌานถึงทำอิทธิปาฏิหาริย์ด้วย
เพราะฉะนั้น เวลาที่ทรงแสดง ก็ทรงแสดงว่า สำหรับเขาอบรมเจริญแล้วก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมด้วย แต่ไม่ใช่หมายความว่า คนที่ไม่มีความสามารถ แล้วพระองค์ก็ไปแสดงเรื่องนี้กับเขา เวลาที่เราอ่านพระไตรปิฎก เราต้องทราบโดยละเอียดว่า ทรงแสดงกับใคร แล้วคนนั้นสามารถแค่ไหน ถ้าคนไม่สามารถก็ไม่ทรงแสดงเลย ก็เป็นเรื่องของสติปัฏฐานล้วนๆ
ผู้ฟัง แล้วการศึกษาฟังพระธรรม จะต้องมีมองลึกไปถึงกรรมที่ได้สะสมมาแล้ว ต่างคนมี แต่เราไม่สามารถรู้
ท่านอาจารย์ แต่เราไม่รู้ เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็เป็นแต่ละอย่าง แต่ละบุคคล ไม่ใช่พระไตรปิฎกที่ทรงแสดงแล้วสับสนกันไปหมด ไม่ว่าใคร
ผู้ฟัง ที่ถามเมื่อกี้นี้ผมก็ระลึกถึงธรรมที่บอกกันมา แต่ก็ไม่ทราบว่ามาจากไหน เฉพาะบุคคลบางบุคคลมีฌานเป็นบาทเพื่อที่จะให้เจริญวิปัสสนาต่อไป นี้ก็เป็นลักษณะอย่างที่ เมื่อตระกี้ผมถาม ว่าบุคคลที่มีฌานเป็นบาทนั้น หมายความถึงบุคคลที่สามารถที่จะเจริญฌานแล้วก็จะเจริญวิปัสสนาเพื่อให้เกิดความหลุดพ้นต่อไป ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ คนที่ได้ฌาน แล้วก็ไม่ได้ฟังธรรมเลย ไม่มีโอกาสที่จะเจริญสติปัฏฐาน แต่คนที่ได้ฌานแล้วก็มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม มีโอกาสที่จะเจริญสติปัฏฐาน แล้วแต่ว่าเมื่อเขาอบรมเจริญสติปัฏฐาน ฌานจิตจะเกิดหรือไม่เกิด เพราะเขาไม่ได้มีความต้องการที่จะให้ฌานจิตเกิด คนที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นผู้ที่หยั่งลงถึงความเป็นอนัตตา แทบจะกล่าวได้ว่า จรดกระดูก ไม่มีการลืมหลงไปเลยว่า สภาพธรรม ทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น คนที่ได้ฌานมาแล้ว อาจจะมีความคล่องแคล่วชำนาญมาก ถึงฌานที่ ๕ แต่ว่าเมื่อเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน เขาไม่สนใจเลย ไม่ได้มีความคิดที่ว่า จะไปทำฌานเพื่อที่จะให้เป็นบาทของวิปัสสนา เพราะเขารู้ว่าจะเป็นบาทหรือไม่เป็นบาทไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
เพราะฉะนั้น เขาก็อบรมเจริญสติปัฏฐานเพื่อละ ในขณะที่การอบรมเจริญฌานไม่ได้ละอะไร ไม่รู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม แต่เมื่อเขาอบรมเจริญสติปัฏฐาน ความชำนาญจากการที่เคยได้ฌาน ทำให้ฌานจิตเกิด แต่ต้องรู้ว่า ไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แล้วปัญญาที่สามารถละ การที่ฌานจิตเกิดเห็นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นแล้วดับไป จะต้องเป็นปัญญาที่อบรมมาสามารถที่จะละได้ เพราะว่าทุกคน โดยเฉพาะโลภะ จะติดในกุศล กุศลระดับนี้ไม่พอ อีกระดับหนึ่ง อีกระดับหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ฌานจิตถึงแม้ว่าจะเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เป็นอเนญชาภิสังขาร ก็อยู่ในปฏิจจสมุปบาท เป็นสังสารวัฏฏ์ ยังออกจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ หนทางเดียวที่จะออกได้ ก็คือการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นละโดยตลอด ถ้าใครไม่ละ ก็คือไม่รู้ว่าโลภะเป็นสมุทัย แต่ที่จะละ เพราะรู้ว่าโลภะนี่เองที่จะทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้น ตามกำลังของโลภะ
เพราะฉะนั้น ก็จะไม่ติดข้องในฌานจิต ไม่มีการไปนั่งทำฌานเพื่อที่จะให้เป็นบาท แต่ว่าอาศัยวสีที่เคยชำนาญคล่องแคล่วมาก เพราะฉะนั้น เมื่อมีปัจจัยที่จะให้ฌานจิตเกิด ผู้นั้นมีปัญญาที่จะรู้ว่า เป็นสภาพธรรมแล้วละ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ฌาน ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม พร้อมองค์ของฌานขั้นต่างๆ ไม่ใช่ บางทีได้ฌานถึงขั้นที่ ๕ แต่ว่าฌานขั้นที่ ๕ ไม่เป็นบาทก็ได้ แล้วแต่ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาจริงๆ
ผู้ฟัง คำพูดที่ว่า ได้ฌานเป็นบาท หมายความว่าฌานนั้นเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน เพียงเท่านั้น ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่หมายความว่า ให้เราไปทำฌาน เพื่อที่จะให้ฌานเป็นบาท ถ้าโดยวิธีเราทำ ก็ไม่ใช่การรู้ความจริงของสภาพธรรม
ผู้ฟัง ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องสติปัฏฐานเท่าไร ตอนแรกผมเข้าใจว่าปรมัตถธรรม เท่านั้นที่เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน แล้วฌานนี้เป็นปรมัตถธรรมหรือไม่
ท่านอาจารย์ ฌานจิต รูปาวจรจิต อรูปวจรจิต เป็นปรมัตถธรรม
ผู้ฟัง เป็นปรมัตถธรรม ครับผม ขอบคุณครับ
ท่านอาจารย์ สำหรับผู้ที่ต้องการฌานก็ทำฌาน สำหรับผู้ที่รู้ว่า ฌานไม่ทำให้ออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าฌานจิตจะเกิดด้วยความชำนาญ ไม่ได้หมายความว่าท่านปรารถนาจะทำ แต่ที่ปรารถนาของท่านที่พระองค์ทรงแสดง คือ แม้เป็นพระโสดาบัน ก็ไม่ควรที่จะเป็นพระโสดาบันเท่านั้น ควรจะต่อไปจนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ ทรงแสดงถึงโทษภัยของภพของชาติ เหมือนหลุมคูถ หลุมอุจจาระที่ไม่สะอาดเลย
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ให้เราฟังอย่างนี้แล้วไปทำฌาน แต่หมายความว่าเมื่อทำอย่างนี้แล้วเห็นโทษภัยของสังสารวัฏฏ์ แล้วรู้ว่าการที่จะเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องเกิดอีกเลย ซึ่งพระโสดาบัน สบาย ไม่ต้องเกิดในอบายภูมิ พ้นเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็แสดงถึงโทษภัย
เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ท่านก็ไม่ได้ไปต้องการที่จะเป็นอย่างนั้น หรือต้องการที่จะเป็นอย่างนี้ เพราะจุดประสงค์ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่กำลังของท่านพอหรือไม่พอ เมื่อกำลังของท่านไม่พอ ท่านก็จะรู้ว่าท่านไม่ได้สะสมอุปนิสัยที่จะทำฌาน อย่างนางวิสาขามิคารมารดาท่านเป็นพระโสดาบัน แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นพระอนาคามี ไม่ได้เป็นพระสกทาคามี เพราะฉะนั้นท่านก็ยังติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ในบุตรหลานของท่านเป็นปกติ แต่ท่านไม่มีทางจะกลับไปเป็นปุถุชน
เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่าผู้นั้นสะสมมาอย่างไร เป็นอย่างไร เมื่อถึงกาลที่ฌานจิตจะเกิด สำหรับผู้ที่ฌานจิตสะสมมาเกิดก็ได้ แต่ต้องเพื่อการละ เพื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่เพื่อไปติดในฌาน แล้วก็ทำอิทธิฤทธิ์ต่างๆ