สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๗๑


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๗๑


    ผู้ฟัง เราเข้าใจความหมายของคำว่า “สัมมาสติ” ที่ถูกต้อง เราก็รู้ว่าสัมมาสติเป็นเจตสิกตัวหนึ่ง เป็นธาตุ เป็นนามธาตุตัวหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้ เกิดขึ้นมาเพราะมีปัจจัยปรุงแต่ง แล้วจากการฟังที่ท่านอาจารย์ได้แสดงให้ฟัง อะไรเป็นปัจจัยให้สัมมาสติเกิดขึ้นครับ คุณจรัล

    ผู้ฟัง ความเข้าใจธรรมในลักษณะของเรื่องราวที่ถูกต้อง จะทำให้สัมมาสติเกิด อาจารย์ครับ ตอนนี้ผมกำลังคิดตามที่อาจารย์ได้กล่าวไว้ คือ ลักษณะของสติ และการเข้าใจสภาพธรรมที่ถูกต้องจะเกิดขึ้น และลักษณะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เหมือนกับการสึกของด้ามพร้า ผมกำลังคิดว่า วันหนึ่งสมมติว่า เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ผมใส่เสื้อผ้า ใส่รองเท้า ถือป๊อบคอร์น แล้วก็เดินเข้าไปในสวนสาธารณะ มีนกร้อง ขณะนั้นผมไม่มีปัญญา ก็ไม่รู้อะไร ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เห็นผู้หญิงเดินมา ก็มองตามผู้หญิงไปก็จบ แต่พอ ๓ ปีผ่านมา ผมเดินเข้าไปในปาร์คอีกทีหนึ่ง แต่งตัวเหมือนเดิม มีทุกอย่างเหมือนเดิม ตอนนี้ผมรู้สึกถึงรสชาติของป๊อบคอร์น ตอนนั้นสติจะเกิดหรือเปล่าครับ เพราะว่าผมรู้สภาพของรสของป๊อบคอร์น เสร็จแล้ว ...

    ท่านอาจารย์ เป็นไปได้อย่างไรคะ ถ้าป๊อบคอร์นอยู่ในปาก เราไม่รู้รส

    ผู้ฟัง ไม่ทราบว่าเป็นสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบก็ไม่ทราบหมดเลย ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ผู้ฟัง แต่อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ได้คิดถึงว่า สิ่งปรากฏทางตาเป็นรูปารมณ์ แต่ผมคิดเฉพาะรสารมณ์เท่านั้น แล้วเข้าใจว่ารสารมณ์เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป อย่างนี้เป็นการพัฒนาของการรู้สติขึ้นเรื่อยๆ ถูกหรือเปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า เดิมเดินไปในสวนเห็นอะไรๆ ก็ไม่รู้อะไรทั้งหมด แต่หลังจากนั้นเวลาเดินก็พอรู้บ้างทางบางทวาร แต่ขณะนั้นกำลังศึกษาลักษณะพร้อมสติที่ระลึกลักษณะที่มีจริงๆ ที่เป็นปรมัตถ์หรือเปล่า เพราะว่าเวลาที่เราพูดถึงปรมัตถธรรม หมายความว่าสิ่งนั้นมีจริง ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลย แล้วปัญญาก็สามารถที่จะเข้าใจลักษณะที่ต่างกัน เพราะว่าสิ่งที่มีจริงมีลักษณะ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลย อีกอย่างกำลังเป็นสภาพรู้ ที่บอกว่าคุณจรัลกำลังรู้รสป๊อบคอร์น หมายความว่าขณะนั้นเป็นธาตุลิ้มรสเกิดขึ้น รสจึงได้ปรากฏ ไม่มีคุณจรัลตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า หู ตา อะไรก็ไม่มี ขณะนั้นมีแต่สภาพที่กำลังลิ้มรส เพราะรสกำลังปรากฏให้รู้ชั่วขณะนั้น

    เพราะฉะนั้น ชั่วขณะนั้นที่เป็นสัมมาสติ คือ ระลึกลักษณะหนึ่งลักษณะใด จะระลึกลักษณะของรส ก็ถูก จะระลึกลักษณะของสภาพที่ลิ้มรสแล้วรู้ ก็ได้ เพราะว่าขณะนั้นจริงๆ แล้วก็มีจริง แต่ว่าปัญญาความรู้ว่า เป็นแต่เพียงธรรมชั่วขณะ ไม่ว่าจะธรรมอะไรทั้งหมดก็ชั่วขณะ เสียงมีชั่วขณะที่ปรากฏ หมดแล้ว รสมีชั่วขณะที่ปรากฏแล้วก็หมดแล้ว นี่เป็นการที่จะค่อยๆ เข้าถึงสภาพที่เกิดดับจริงๆ แต่ว่าทั้งๆ ที่ความจริงเป็นอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ รู้อย่างนี้บ้าง กว่าจะรู้ได้จริงๆ ว่า ไม่มีอะไรเหลือเลย นอกจากสภาพนั้นเท่านั้น ก็ต้องอาศัยกาลเวลา แต่ว่าเป็นสิ่งที่เราไม่ควรจะทอดทิ้งละเลย หรือว่าคิดว่ารอไว้ เพราะแม้ขณะนี้สัมมาสติเกิดระลึกได้แน่นอน ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจขณะที่ฟังพระธรรม ก็สามารถที่จะระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟัง แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ตรัสให้สติเกิดระลึก แต่เมื่อมีความเข้าใจว่า สิ่งนั้นมีจริง แล้วสัมมาสติก็เป็นสภาพที่ระลึก ไม่ใช่เรามีเจตนาจะรู้ แต่เพราะสติเกิด

    เพราะฉะนั้น เราจะรู้ได้ว่าวันหนึ่งๆ สติเกิดหรือว่าหลงลืมสติ เป็นปัญญาของผู้นั้นเอง ไม่ต้องถามใคร ถามคนอื่นเขาก็บอกไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่า ขณะนี้สติของใครเกิดหรือไม่เกิด แต่คนนั้นเองจะเป็นคนที่รู้ว่า ขณะนั้นสัมมาสติเกิดหรือไม่เกิด


    หมายเลข 9364
    21 ส.ค. 2567