สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๗๓
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๗๓
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ ถามจากเรื่องของสติปัฏฐานสูตรต่อไปว่า ที่เรียกว่าอารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบัน หมายความว่าอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะได้ฟังเรื่องสติปัฏฐาน คุณซีคิดว่าอารมณ์ปัจจุบันคืออะไร
ผู้ฟัง ก็หมายถึงอารมณ์ที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานก็เป็นธรรมดาๆ ไม่ใช่ว่าต้องเปลี่ยนคำหรือว่าอะไร เคยเข้าใจว่าขณะปัจจุบันคือสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ สติปัฏฐานก็คืออย่างนั้น
ผู้ฟัง ที่สงสัยก็คือมีการถามกัน อย่างเช่นรูป ก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ว่าสติปัฏฐานก็เกิดขึ้นทั้งทางมโนทวาร แล้วก็ปัญจทวารรู้รูปรูปนั้น ก็สงสัยว่า รูปนั้นมันดับไปแล้ว นั้นเป็นปัจจุบัน หรือว่า รู้รูปอันนั้น หรืออย่างไร
ท่านอาจารย์ คือว่าเราไปติดที่คำว่า “เกิดดับ” แล้วก็ทางปัญจทวาร แล้วก็รู้ต่อทางมโนทวาร แต่ว่าขณะนี้รู้อย่างนี้หรือเปล่า ความรู้ต้องตามลำดับ ไม่ใช่เราไปรู้อันนั้นก่อน แล้วมาหาอันนี้ แต่ขณะนี้สภาพธรรมที่มีไม่เคยรู้เลยว่า ไม่ใช่เราอย่างไร
เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้ไปตั้งต้นตอนที่มันเกิดไปแล้ว มันดับไปแล้ว แล้วจะไปรู้อะไร นั่นคือคิด แต่ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็จากการฟังก็รู้ว่า ทุกอย่างเป็นนามธรรม และเป็นรูปธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้น เราไม่เคยรู้อย่างที่เราเคยฟัง หรือเคยพูดตามว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แล้วก็มีแต่นามธรรม และรูปธรรม
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดจากพระไตรปิฎก และอรรถกถา ต้องเป็นความรู้จริงของเรา ที่จะเริ่มต้นตรงไหน ตรงที่เมื่อมีความเข้าใจว่า ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็เป็นสภาพที่เป็นสภาพรู้ กับสภาพที่ไม่ใช่สภาพรู้ ในขณะที่กำลังเห็น เห็นอยู่อย่างนี้ มีจริงๆ รู้อย่างนี้คือรู้อย่างไร ปัญญาก็คือเกิดตอนที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะสิ่งใดที่ไม่ได้ปรากฏจะรู้ไม่ได้เลย ไม่มีทางจะรู้ แล้วเราก็เคยคิดถึงนามธรรม และรูปธรรมรวมๆ กันหมดทั้งวันว่า นั่นเป็นนามทางทวารนี้ นี่เป็นรูปทางทวารนั้น เรารู้แต่เพียงขั้นคิดนึก แต่ว่าขณะนี้ ถ้าทางตาจริงๆ แยกออกมา ๑ ไม่มีอื่นเลยทั้งสิ้น ถูกต้องไหมคะ ตามความเป็นจริง ปัญญาสามารถที่จะรู้ถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ ทั้งสภาพที่กำลังเห็น และสิ่งที่กำลังปรากฏหรือไม่ เพราะว่าขณะนี้ความจริงเป็นอย่างนั้น ในขณะที่เห็น ถ้าย้ายความจริงมาอีกขณะหนึ่ง คือ ขณะที่กำลังได้ยิน จะไม่มีเห็นเลย
เพราะฉะนั้น ความจริงแท้ในขณะของได้ยิน แยกออกมา ๑ เลย จะไม่มีอะไรเจือปนเลยทั้งสิ้น รู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างไรในสภาพที่กำลังได้ยินกับเสียง
นี่ก็คือชีวิตตามความเป็นจริงแต่ละขณะ เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปกังวลเรื่องชื่อ เรื่องทวาร หรืออะไรทั้งหมด แต่สิ่งใดที่มีแล้วไม่รู้ ก็เริ่มต้นที่จะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ แล้วทุกอย่างจะตรงตามที่ได้ศึกษา แล้วก็เป็นปัญญาของเราเองด้วย เวลานี้ไม่ใช่เป็นปัญญาของเราเองเลย เป็นปัญญาที่เกิดจากการฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง แต่เป็นปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญาของพระสาวกที่ท่านได้รู้แจ้งความจริงแล้ว เพราะฉะนั้น ปัญญาของเรา เราต้องรู้ตามความเป็นจริง จะเริ่มอย่างไรจึงจะค่อยๆ ไปถึง อย่างที่ท่านเหล่านั้นได้ประจักษ์ความจริงนั้นๆ แทนที่จะมานั่งคิด ทางทวารไหนอย่างไร