สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๗๔


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๗๔


    ผู้ฟัง มีผู้สงสัย อย่างเช่นเรียนพระอภิธรรมกัน ก็เรียนอย่างละเอียดมากเลย ว่าสภาพธรรมเกิดอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ก็มีคนสงสัยถามกันว่า เวลารู้สภาพธรรมก็ไม่ได้รูปแบบนั้น

    ท่านอาจารย์ ทำไมล่ะคะ ทำไมถึงจะไม่ได้รู้แบบนั้น คือหมายความว่า อย่างเช่นตรงนี้ คือสภาพธรรมเกิดขึ้นไปแล้วดับไปแล้ว แต่ว่าก็ยังรู้สภาพธรรมที่ดับไปแล้วนั้นอยู่ ตามลักษณะของสภาพธรรมของเขา ที่รู้ รู้อะไร รู้ด้วยความจำ หรือว่ารู้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ คือเรื่องราวทั้งหมดเลย แต่ปัญญาเป็นสภาพรู้ ไม่ใช่เรา ปัญญาที่เกิดจากการฟัง พิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ขณะนี้เกิดความสงสัย ไม่ใช่ปัญญา

    เพราะฉะนั้น เราจะมีความสงสัย ซึ่งความสงสัยนี้จะหมดได้เมื่อไร เราจะไปเที่ยวถามใครเรื่องของวิถีจิต เราจะไปรู้ได้อย่างไร ดับไปแล้ว หรืออะไรอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะตอบได้เลย ถึงเขาตอบก็ไม่ใช่ปัญญาของเรา เพราะฉะนั้น การที่จะมีปัญญาของเราจริงๆ แท้ๆ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใครอีกแล้ว ก็คือเมื่อฟังธรรมเข้าใจจริงๆ ก็มีความมั่นคงในสัจญาณ ก่อนอื่น ยังไม่ต้องไปมั่นคงว่า รูปเกิดกระทบทางตา ทางหู ทางปัญจทวาร แล้วจิตนั้นเกิด จิตนี้เกิด ไม่ใช่ไปมั่นคงอย่างนั้น แต่ว่ามั่นคงว่า ขณะนี้มีธรรมซึ่งปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยนัยของพระสูตรมีเรื่องของสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่เคยเห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วผู้ที่ได้ฟังแล้วสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ได้ เพราะฉะนั้นเราจะสงสัยอะไร สงสัยในสิ่งซึ่งไม่ใช่ปัญญาของเรา หรือว่าเมื่อเริ่มฟัง เราก็เริ่มจะเข้าใจว่า ปัญญาของเราน้อยนิดแค่ไหน จากการที่ผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา แล้วพระอรหันต์ทั้งนั้นเลยทรงจำสืบต่อมา ท่านเป็นผู้รู้ทั้งนั้น แล้วเราเป็นใคร เรากำลังเริ่มไปอ่าน ไม่ใช่ไปรู้ว่า ท่านเหล่านั้นรู้อะไร

    เพราะฉะนั้น กว่าที่จะเข้าใจจริงๆ แล้วอบรมปัญญาจริงๆ เราต้องรู้เท่าที่เราจะรู้ได้ด้วยปัญญาของเราเองตั้งแต่ต้น คือ ตั้งแต่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ แทนที่จะไปสงสัยเรื่องราว ถ้าสติปัฏฐานเกิด ขณะนั้นรู้ไหมคะ รู้ว่าไม่ใช่เวลาที่หลงลืมสติ ขณะนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิหรือเปล่า ถ้าโดยชื่อ ถ้าจะเรียก

    ผู้ฟัง ถ้ารู้ถูกต้องก็เป็น

    ท่านอาจารย์ ทำไมมีถ้าถูกต้องอีกล่ะคะ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องเป็นความเข้าใจว่า สติมีหลายระดับ ถ้าสติขั้นทานไม่ใช่สติสัมปชัญญะได้ เพียงแค่ระลึกเป็นไปในทานเท่านั้นเอง ขั้นศีลก็เหมือนกัน ขั้นสมถะ เราต้องรู้ว่าสมถะคืออะไร คือความสงบของจิตซึ่งวันหนึ่งๆ ของสมถะที่จะเจริญมากถึงระดับฌานจิต ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาละเอียดที่สามารถรู้ว่า ทันทีที่เห็นนี้ก็อาสวะแล้ว มีความติดข้องแล้ว ยังไม่ต้องถึงทางมโนทวารเลย

    เพราะฉะนั้น ปัญญามีหลายระดับมาก แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่รู้ว่า ถึงแม้เราจะอบรมเจริญความสงบสักเท่าไร ถึงขั้นอรูปฌาน ก็ไม่สามารถจะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ สังสารวัฏฏ์เป็นสิ่งซึ่งมีเพราะอวิชชา เพราะความไม่รู้ ทุกคนที่เกิดคือไม่รู้ ถ้ารู้จริงๆ ถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับความไม่รู้หมดสิ้นจะไม่มีเกิดอีกเลย

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ว่าเราเกิดมามีความไม่รู้ แล้วก็ถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังให้รู้ขึ้น ก็ไม่มีทางจะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้เลย เพราะว่าตราบใดที่ยังมีอวิชชาอยู่ก็ต้องเกิด อยากจะออกก็ออกไม่ได้ ไม่มีหนทาง

    เพราะฉะนั้น เราก็ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาที่จะเข้าใจหนทาง ๒ ทาง คือถ้าทางสมถะออกจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ ถึงอรูปฌานก็ยังเป็นมิจฉาปฏิปทา เมื่อเทียบกับสติปัฏฐาน เพราะว่าสติปัฏฐานนำออก แต่ว่าอรูปพรหมก็ยังคงวนเวียนเข้าเรื่อยไปในสังสารวัฏฏ์ ต้องสติปัฏฐานเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น เราก็คงไม่ต้องไปติดในการที่จะต้องไปทำจิตให้สงบ เพราะเข้าใจว่าพอสงบแล้วจะรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ว่าชาติหนึ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะน้อยหรือจะมากอีกนานสักเท่าไร เวลาอาจจะสั้นมาก แต่เราสามารถจะสะสมความเห็นถูก อันนี้สำคัญที่สุด ยังไม่ต้องไปถึงปัญญาระดับอื่นเลย ถ้าความเห็นถูกไม่มี

    เพราะฉะนั้น ความเห็นถูกต้องจริงๆ ไม่คลาดเคลื่อน เป็นสัจญาณมีความมั่นคงว่า สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ อย่างขณะนี้ ปัญญาสามารถอบรมจนกระทั่งเห็นอยู่อย่างไรก็รู้ตามความเป็นจริงอย่างนั้นได้ ไม่เป็นอื่น แต่สภาพธรรมก็เกิดดับเร็วมาก ถ้าขณะนี้สติไม่เกิดก็ดับไปหมดแล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปหาทางปัญจทวารต่อ ทางปัญจทวารจะรู้อย่างไร ภวังค์คั่น หรืออะไร พวกนี้ไม่ต้องเลย แต่ว่าเป็นปัญญาของเราที่จะรู้ขณะที่สติเกิดต่างกับขณะที่หลงลืมสติ แล้วรู้ว่า ตรงนั้นแหละที่ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น แล้วเวลาที่สติกำลังระลึกลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นรู้ว่า สติกำลังระลึกลักษณะของสภาพธรรม ตรงนั้นไม่ต้องใช้คำว่า “มรรคปัจจัย” แต่เป็นมรรคปัจจัย ไม่จำเป็นต้องใช้คำ แต่ถ้าจะใช้ ตรงนั้นหรือเปล่าที่เป็นมรรคปัจจัย ตรงอื่นจะเป็นมรรคปัจจัยได้ไหม จะเป็นทางที่จะทำให้รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ไหม

    ก็เป็นเรื่อง เป็นความเข้าใจขึ้น ถ้าเรามีความสงสัย เราสงสัยไปตลอด ไม่จบ พอสงสัยตรงนี้ ก็ไปสงสัยตรงอื่นอีก ใช่ไหมคะ


    หมายเลข 9367
    21 ส.ค. 2567