สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๗๖


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๗๖


    ผู้ฟัง เมื่อกี้ท่านอาจารย์บอกว่า อะไรที่จะเป็น ต้องเป็นอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ ธรรมดาการอบรมเจริญปัญญา เหมือนเราเรียนหนังสือ เราเรียนทุกวันๆ วันไหนที่เราเกิดเข้าใจ ก ไก่ รูปร่างอย่างนี้นะ กว่าจะจำ ก ไก่ได้ กว่าจะถึง ข ไข่ อีก กว่าจะถึง ฮ นกฮูก ของเราปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม รูปธรรม จนกว่าประจักษ์เมื่อไร เป็นวิปัสสนาญาณเมื่อนั้น

    เพราะฉะนั้น การประจักษ์ไม่ใช่การที่กำลังเริ่มพิจารณา หรือเริ่มศึกษา หรือเริ่มค่อยๆ เข้าใจ แต่เป็นความสมบูรณ์ระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถที่จะรู้ว่า นามธาตุเป็นอย่างนี้ รูปธาตุเป็นอย่างนี้ ไม่มีความสงสัยในมโนทวาร เวลานี้ทุกคนต้องสงสัยในมโนทวาร ก็มีแต่ทางปัญจทวารต่อกัน ไม่เห็นมโนทวารอยู่ตรงไหน ตำรานี้บอกเลย ภวังคจิตคั่น มโนทวารรับต่อ กว่าจะไปถึงทางทวารอื่น แต่มโนทวารก็ไม่ปรากฏเลย แต่ลองคิดถึงตามความเป็นจริง แค่หลับตาเท่านั้น สิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏอย่างนี้ แล้วถ้าเป็นมโนทวารล้วน คือ ไม่มีทางนี้เลย จะมืดหรือจะสว่างแค่ไหน ไม่มีทางสว่างได้เลย โลกทางตาไม่ได้ปรากฏ แล้วสิ่งนั้นเคยเกิดไหม ความมืดสนิท ซึ่งเป็นมโนทวาร ซึ่งต่างกับภวังค์ ตอนที่ว่า ภวังค์ไม่รู้อะไรเลย ภวังค์ไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏเลย อารมณ์ของโลกนี้ไม่ปรากฏเลย ตอนที่หลับสนิทจะชื่ออะไร เป็นใคร อยู่ที่ไหน ไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ความจำใดๆ ก็ไม่มี แต่มโนทวารไม่ใช่อย่างนั้น ความมืด เพราะรู้ ตอนที่เป็นภวังค์ไม่รู้ จะไม่มีทางรู้เรื่องมืดเรื่องสว่าง หรือเรื่องอะไรเลย แต่มโนทวาร เมื่อเอาสิ่งที่ปรากฏทางตาออกแล้ว จะมืดสักเท่าไร แต่ว่าสามารถจะรู้ได้หมด แม้แต่สิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน

    เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นรู้เลย ผ่านทางปัญจทวารเล็กนิดเดียว ทางตาก็นิดเดียว ที่จะเหมือนกับโลกมืด ซึ่งมีจุดอยู่เพียง ๕ จุด แล้วจุดหนึ่งสว่าง อีก ๔ จุดไม่สว่างเลย แต่ว่าปัญญาก็สามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้น การที่เราจะฟังธรรม แล้วก็อบรมเจริญปัญญาต้องรู้ว่า เป็นเรื่องละ และเป็นเรื่องหยั่งถึงตัวจริงของธรรม อย่างตัวจริงของธรรมที่ใช้คำว่า ธาตุ ทุกอย่างเป็นธาตุ หรือใจเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ เป็นมนินทรีย์ ก็ลองคิดดู เอาสี เอาเสียง เอากลิ่น เอารส เอารูปออกหมดเลย ไม่มีรูปใดๆ เลยปรากฏ มีสภาพรู้หรือธาตุรู้ แล้วลองคิดดูว่า ธาตุรู้หรือสภาพรู้จะใหญ่สักแค่ไหน ในเมื่อไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ยังมีสภาพรู้หรือธาตุรู้

    เพราะฉะนั้น ลักษณะของมนินทรีย์ก็ต้องปรากฏ ความใหญ่ของเขาไม่มีรูปเลย เวลานี้เราถูกจำกัดอยู่ในสวน ขอบเขตอันนี้ แล้วก็มีต้นไม้สูงบ้าง ต้นไม้เตี้ยบ้าง ขอบเขตของเขามีหมด แต่ ณ ขณะที่ไม่มีที่ใดจะจำกัดได้เลย เพราะรูปใดๆ ก็ไม่มี แต่มีธาตุรู้ที่กำลังรู้ ขณะนั้นจะเห็นความเป็นมนินทรีย์ได้ แล้วไม่มีความสงสัยแม้ในอรูปพรหม ไม่ต้องมีรูป ก็มีธาตุรู้ได้

    นี่เป็นแต่เพียงว่า ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ถ้าสภาพธรรมไม่เป็นจริงอย่างนี้ ไม่มีการประจักษ์แจ้งอย่างนี้ ใครจะแสดงลักษณะของสภาพธรรมอย่างนี้ก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นอย่างนี้ คือ นามธรรมไม่ใช่รูปธรรมโดยประการทั้งปวง ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง ก็อย่างเมื่อกี้นี้ที่พูดถึงเฉพาะทางตาทางเดียว กำลังเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีอะไรๆ เลยทั้งสิ้น เห็นอยู่อย่างไร รู้อยู่อย่างไร หรือว่ารู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไรในสิ่งนี้ เท่านั้น จะไม่มีสิ่งอื่นปะปนเลย ถ้ามิฉะนั้นแล้วไม่มีการที่จะสามารถดับความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ แต่นี่เป็นตรุณวิปัสสนา แล้วถ้าไม่อบรมเจริญต่อไป จะถึงได้ไหมคะ พอโลภะเข้ามาแทรกก็รู้เลยทันที กั้นอีกแล้ว แทรกอีกแล้ว

    เพราะฉะนั้น เราเริ่มเห็นโลภะ การที่สภาพธรรมที่จะคล้อยตามไปทางที่ผิด จะชักชวนไป จะอะไรไป เขามีกำลังมากมายอยู่เสมอ ต้องเป็นความมั่นคงจริงๆ ที่จะรู้ว่า นี่ไม่ใช่ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย เวลานี้มีแล้ว เกิดแล้ว อสังขตธรรมปรุงแต่งแล้วเกิด เพราะฉะนั้น ตามรู้สิ่งที่มีเท่านั้น ถ้าเราสามารถที่จะรู้อยู่ตรงลักษณะของเห็น รู้อยู่ตรงลักษณะของได้ยิน หรือเสียง หรือสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด จะเป็นโลกของปรมัตถ์ เวลาที่คิดเกิดขึ้น ก็รู้ว่า ขณะนั้นก็ต่าง เป็นนามธรรม ซึ่งต่างกับอันอื่น

    เพราะฉะนั้น มีหนทางเดียว คือ อดทน ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง เป็นความจริงที่ ถ้าไม่อบรมเจริญสติปัฏฐาน จะไม่เข้าใจคำนี้เลย อดทนที่จะเผาความไม่รู้ ที่จะละกิเลส ที่เป็นความติดข้องที่จะทำให้หันเหไปทางอื่น แล้วขณะที่เข้าใจ ความเข้าใจทีละน้อย ทีละน้อย ก็จะซึมลงไปถึงรากที่เป็นอนุสัย เพราะเหตุว่าไม่มีอะไรเลยที่จะดับอนุสัยได้ นอกจากโลกุตตรมรรค

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่รู้จริงๆ ว่า ขณะนี้เหมือนไม่ได้อะไร แต่ความจริงปัญญาทำหน้าที่ของปัญญาทุกขณะทีละน้อยๆ ปัญญาสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วค่อยๆ หยั่งลงไปถึงลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าจะสามารถถอนอนุสัยออกได้ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็แค่ผิวเผิน แล้วคิดว่าไม่มี แล้วคิดว่าดับไปแล้ว สามารถที่จะรู้อย่างนั้น อย่างนี้ แต่ด้วยความเป็นตัวตน

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นจิตที่กำลังคิดนึกถึงเรื่องราวของสภาพธรรมที่เกิดมาแล้วนานๆ ก็เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานในขณะนั้นได้ ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้

    ผู้ฟัง จิตที่กำลังคิดนึกถึงเรื่องราวนั้น

    ท่านอาจารย์ จิตมีจริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ กำลังคิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง กำลังคิด

    ท่านอาจารย์ ต้องในขณะที่กำลังคิด


    หมายเลข 9369
    21 ส.ค. 2567