สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๘๑
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๘๑
ไม่ลืมเลยว่า ธรรมต้องเป็นธรรมดา เพราะว่าขณะนี้ไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดได้เลย มีแล้วทุกขณะ เราลืมว่า ขณะนี้มี มีแล้วไม่ต้องทำอะไรขึ้นมาเลย ทุกสิ่งในขณะนี้มี เมื่อศึกษาแล้วก็ทราบได้ว่า เพราะมีเหตุมีปัจจัย สภาพธรรมในขณะนี้จึงเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ขณะนี้ใจของทุกคนคงจะไม่เหมือนกันเลย ต่างกันมาก แต่ว่าเมื่อแสดงโดยประเภท ทรงแสดงโดยละเอียดว่า มีต่างกันเป็น ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภท แต่ว่าใน ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภท ก็จำแนกเป็นส่วนใหญ่ๆ อย่างโลภมูลจิต เป็นอกุศลที่เป็นความติดข้อง ต้องการ ประมวลไว้ว่ามี ๘ แต่ความหลากหลายเกิน ๘ แต่ถึงจะหลากหลายอย่างไร มากมายสักเท่าไร คนในโลกนี้ ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต จะมากมายสักเท่าไรก็ตาม ความติดข้องต้องการประมวลแล้วก็มีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๘ อย่าง
นี่ก็เป็นตัวอย่างเรื่องของจิตใจซึ่งมองไม่เห็น แล้วบางทีใจของเราเอง เรารู้หรือเปล่าว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เกิดขึ้นมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร น่าคิดใช่ไหมคะ เพราะว่าบางคนบางกาลก็ดี บางกาลก็อกุศลจิตเกิด แต่ต้องยอมรับตามความเป็นจริง สิ่งใดที่มี ทั้งหมดไม่ว่าดี หรือชั่ว ก็เป็นธรรม เพราะว่าบางคนอยากมีแต่กุศล พออกุศลเกิดขึ้น ถ้ารู้สึกตัว บางคนอาจจะรังเกียจมาก ไม่อยากจะมีอกุศลอย่างนี้เลย แต่เกิดแล้ว เป็นแล้ว แสดงให้เห็นถึงการสะสม
เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่จริงทุกคำในพระไตรปิฎกจากการตรัสรู้ ไม่ว่าจะเป็นในอดีต ตั้งแต่สมัยที่ยังทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งได้ตรัสรู้ ทรงแสดงธรรม ทำให้แต่ละคนเกิดปัญญาความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ไม่มีใครสามารถที่จะมีความคิดขึ้นมาได้ว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงๆ เกิด ปรากฏ แล้วก็ดับไป ตอนนี้ยากมาก ใช่ไหมคะ โดยขั้นการฟัง สามารถที่จะเห็นความไม่เที่ยง เล็กๆ น้อยๆ ชั่วครั้ง ชั่วคราว อย่างเมื่อกี้นี้ก็ไม่ใช่ขณะนี้ ขณะก่อนต้องหมด แล้วถึงจะถึงขณะนี้ได้ แต่ถ้าย่อให้สั้นจนกระทั่งเพียง ๑ ขณะจิต จะเห็นว่า สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นแต่ละอย่างจริงๆ แล้วแต่ละคนตลอดชีวิต ทั้งชาติก่อน ชาตินี้ และชาติต่อไป ก็จะมีเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา อย่างหนึ่ง ก็ต้องมีเหตุปัจจัย เพียงแค่ไม่มีจักขุปสาท ตาบอดเฉียบพลันนี่เป็นไปได้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ก็ไม่ปรากฏแล้ว
เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาไปเรื่อยๆ ก็จะมีความเข้าใจในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมว่า ไม่มีอะไรเลยที่เป็นเราจริงๆ เพราะว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เมื่อกี้นี้ได้ยินเหมือนเป็นเราได้ยิน แต่ความจริงก็คือสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งมีจริงๆ สามารถได้ยินเสียง ได้ยินแล้วก็ดับไป แต่ความจริงสิ่งที่หมดไปแล้วจะกลับมาไม่ได้อีกเลย เพียงชั่วขณะที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิด แล้วก็ดับ การตรัสรู้สภาพธรรมเป็นสิ่งซึ่งเป็นไปได้ แต่ต้องด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้น ถ้ามีความรู้สึกว่าเป็นเราที่อยากจะมีปัญญา ขณะนั้นก็เป็นเครื่องกั้น เพราะไม่รู้จริงๆ ว่า ปัญญาเป็นปัญญา แม้ปัญญาก็ไม่ใช่เรา แต่ปัญญาก็มีจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังมีจริงในขณะนี้ จริงแน่นอน ปฏิเสธไม่ได้ แต่ว่าไม่ใช่เราสักอย่างเดียว บางทีเราก็พอจะคิดอย่างนี้ เมื่อกำลังจะจากโลกนี้ไป หรือบางคนก็ไม่จาก ตอนที่จะจากก็ไม่คิดด้วยซ้ำไป ยังไม่ยอมจะจากไป แต่ก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่ว่าความจริงแล้ว ก็มีหลายอย่างในพระไตรปิฎกที่ทำให้ทุกคนที่ได้ฟัง เป็นผู้ที่อาจหาญ ร่าเริง ที่จะรู้ว่า เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ จริงก็คือจริง สมัยก่อนที่ยังไม่ได้ฟังธรรม ทุกคนก็คงจะกลัวตาย คุณซีกลัวไหมคะ เดี๋ยวนี้ยังกลัว เพราะอะไรคะ เพราะไม่มีใครอยากจากสิ่งที่เคยเป็นเรา แต่จริงๆ แล้ว เราจะไม่รู้สึกตัวเลย เพราะเหตุว่าขณะที่เกิด ขณะแรกที่จิตเกิดก็ไม่มีใครรู้สึก ขณะที่จิตขณะแรกดับไป จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทำกิจภวังค์ ก็ไม่มีการรู้สึกว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน จนกว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก และจำ จำสิ่งที่มี จำว่าเป็นเรา หรือของเราด้วยความไม่รู้
ในขณะที่เกิด คือ ปฏิสนธิขณะ ทุกคนคงทราบคำนี้ ปฏิสนธิจิตเป็นจิตขณะแรกที่เกิดขึ้น เพียงขณะเดียวในชาติหนึ่งๆ แล้วปฏิสนธิจิตนั้นก็ดับ แล้วภวังคจิตที่เกิดสืบต่อดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ ก็เลือกไม่ได้ว่า จะให้เป็นคนนี้ที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เมื่อไรจะเกิดเห็นขึ้น มีใครรู้ไหมคะ กำลังหลับ เมื่อไรจะตื่น รู้ล่วงหน้าไหมคะว่า เมื่อไรจะตื่น ไม่รู้เลย แต่ตื่นเพราะเหตุปัจจัย ตื่นเพราะเห็น หรือว่าเพราะได้ยิน หรือเพราะได้กลิ่น หรือเพราะลิ้มรส หรือเพราะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย เลือกไม่ได้อีกเหมือนกัน กรรมที่ได้ทำไว้แล้วมากมายนับไม่ถ้วน แต่ต้องถึงกาลที่จะให้ผล จึงจะเกิดขึ้นได้
นี่เป็นเหตุที่เราเลือกไม่ได้เลย แม้แต่จะหลับ จะตื่น จะเห็น จะได้ยิน จนกระทั่งถึงขณะสุดท้าย แต่ขณะสุดท้ายที่ทุกคนกลัว ถ้ารู้ว่า ขณะนั้นไม่ว่าจะเป็นญาติ พี่น้องหรือว่าใครก็ตามที่จากเราไปแล้ว เราอาจจะคิดว่า เขาคงจะเจ็บปวด ตกใจ ทุกข์ร้อน เศร้าโศก แต่ความจริงนั่นไม่ใช่ขณะจุติ ไม่ใช่จิตขณะสุดท้าย เป็นจิตก่อนขณะสุดท้าย ถ้าจิตขณะสุดท้ายจริงๆ ไม่มีใครรู้ ไม่ทันจะกลัว หรือจะอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าถ้าคิดถึงคนป่วย เจ็บหนัก กังวล ก่อนจุติ คือ ก่อนที่จะเขาจะตาย ถ้าเขาจะเป็นอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะตายหลายวัน หลายเดือน เขาก็เคยป่วย แล้วก็เคยเจ็บ แล้วก็เคยกังวล แต่ก็ไม่ตาย
เพราะฉะนั้น ใครจะรู้ว่า ขณะเจ็บ ถึงเมื่อไรจะตายจริงๆ คือ จิตขณะสุดท้ายดับแล้วไม่เกิด ขณะที่กังวล เราก็กังวลมาแล้ว คนที่ใกล้จะสิ้นชีวิตก็อาจจะกังวลเรื่องอื่น แต่ก็ไม่ตาย เมื่อกรรมยังไม่ทำให้จุติ ใครก็ไม่สามารถที่จะทำให้จิตขณะสุดท้ายเกิด เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ได้
เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องจริงทุกคำ แล้วก็สามารถที่จะพิจาณาเป็นประโยชน์ แล้วเห็นค่าของการมีชีวิตอยู่ที่ได้มีโอกาสสะสมความรู้ ความเห็นถูกในพระธรรม ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะแสดงได้เลย ต้องเป็นผู้ที่ตรัสรู้เท่านั้น แล้วทรงพระมหากรุณาแสดงถึง ๔๕ พรรษา แต่ต้องเห็นจริงๆ ว่า การที่แต่ละคนเริ่มที่จะศึกษา เริ่มที่จะฟังธรรม จะเทียบกับปัญญาของผู้ที่ตรัสรู้ทรงแสดง และผู้ที่ดำรงสืบทอดมาถึงเรา เป็นพระอรหันต์ทั้งหลายที่รู้ธรรมนั้นแล้ว แล้วก็สืบทอดจนกระทั่งจารึกเป็นพระไตรปิฎก ปัญญาของท่านมากมาย เมื่อศึกษาแล้วจะรู้ได้ว่า ไม่ง่าย แต่เป็นความจริง
เพราะฉะนั้น ความจริงสามารถที่จะพิสูจน์ได้ เข้าใจได้ทุกขณะ ก็ต้องอดทนตามที่ได้ทรงแสดงไว้ โอวาทปาติโมกข์ ขันติ ความอดทน เป็นตบะอย่างยิ่ง