สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๘๒


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๘๒


    กิเลสมีเยอะ อยากหมดไหมคะ ถ้าใครไม่มีกิเลส เป็นคนดี จนกระทั่งดีที่สุดเพราะไม่มีกิเลสเลย แต่ใครจะทำให้กิเลสหมดได้ ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้กิเลสหมดได้เลย นอกจากปัญญาซึ่งไม่ใช่เราด้วย ต้องมีความเข้าใจอย่างมั่นคงตั้งแต่คำแรกที่ได้ยินได้ฟัง ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เป็นอนัตตา คำนี้ลืมไม่ได้ ไม่ว่าอยากจะเป็นคนดีสักเท่าไร แต่ยังไม่ดีเท่าที่ต้องการ หรือไม่อยากจะให้อกุศลเกิดเลย แต่อกุศลประเภทซึ่งไม่น่าจะเกิดก็เกิดขึ้นมาได้ ก็ตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้น พระธรรมก็ทำให้เห็นธรรมว่า เป็นธรรม เมื่อมีความเข้าใจที่จะค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นเรา แต่ต้องขันติ เป็นตบะอย่างยิ่ง วันนี้มีผลไม้สวยๆ ดอกไม้สวยๆ แกะสลักสวยๆ ต้องมีวิริยะ ต้องมีความเพียร เพียรอย่างนั้นยังทำได้ เพียรเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าที่จะเพียรทำให้วิจิตร แต่เป็นความเพียรที่สามารถที่จะขจัดความไม่รู้ ความสงสัยออกได้หมด ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปด้วยความอดทนอย่างยิ่ง

    ถ้าเราเคยอดทนมาแล้ว คนที่อดทนเก่งๆ พอฟังธรรมรู้ไหมว่า ต้องอดทนเพิ่มขึ้นอีกมากขึ้นอีกสักเท่าไร กว่าที่จะได้เข้าใจแล้วก็ยังประพฤติปฏิบัติตามโดยสังขารขันธ์ คือฟังธรรมแล้วจะเกิดความคิดว่า เราจะทำ อันนั้นไม่ถูกกต้อง แต่ถึงแม้ว่าคิดอย่างนั้นแล้วรู้ว่า แม้ความคิดอย่างนั้นก็เกิดขึ้นตามการสะสม

    เพราะฉะนั้น หนทางนี้จึงเป็นหนทางที่ละเอียดจริงๆ อริยสัจจะทั้ง ๔ ลึกซึ้งทั้ง ๔ ไม่ใช่เฉพาะนิโรธสัจจะอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นทุกขอริยสัจจะก็ลึกซึ้ง สมุทัยสัจจะก็ลึกซึ้ง นิโรธสัจจะลึกซึ้งแน่นอน มรรค คือ หนทางที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็ลึกซึ้งมาก เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องละตั้งแต่ต้น ไม่ใช่เรื่องที่ติดหรือเรื่องที่ต้องการ หรือเรื่องที่จะเอา ถ้าเป็นลักษณะของความติดหรือความต้องการที่จะเอา ตัวตน เห็นไหมว่า มีกำลังถึงกับจะให้คิดที่จะเอา แทนที่จะละความไม่รู้ออกไป เช่นในขณะนี้ กำลังเห็นอย่างนี้ เห็นอย่างไร เข้าใจถูก เห็นถูก รู้ถูก ตามความเป็นจริงอย่างนั้น อย่างที่ได้ยินได้ฟังแล้วหรือยัง ถ้ายัง ก็คืออบรมไป โดยการที่มีความเข้าใจถูกต้องว่า ความรู้ขั้นนี้เป็นขั้นฟัง แต่ก็มีสภาพธรรมที่พิสูจน์ปัญญาของเราเอง ไม่ต้องไปถามใครที่ไหนเลย แต่ปัญญาของเราเองจะรู้ตามความเป็นจริงว่า มีหนทางไหมที่จะรู้ว่า สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมาทั้งหมดนี่เป็นความจริง แม้แต่กำลังเห็นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ เครื่องยืนยัน กำลังได้ยิน กำลังคิดนึก เป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นเครื่องสอบความรู้ความเข้าใจของเราเอง ถ้ามีเพียงนิดหน่อย เพิ่มขึ้น แต่คงต้องรู้ระดับ ถ้าคิด หมายความว่าขณะที่คิด ไม่ใช่กำลังรู้ลักษณะที่เป็นสภาพธรรม มีลักษณะสภาวะลักษณะอย่างนั้นจริงๆ ยังไม่ใช่สติอีกระดับหนึ่ง เป็นสติขั้นฟัง

    ขณะนี้ฟังเข้าใจ เป็นเราหรือเปล่า ก็คงต้องเตือนกันบ่อยๆ โดยการฟัง ไม่ใช่เรา แต่ยังถอนความเป็นเราออกไปไม่ได้เลย เพียงแต่เข้าใจเรื่อง และเข้าใจทางที่จะทำให้รู้ว่า การที่จะละคลายความเป็นเรา ไม่ใช่ทันทีทันใด ทุกท่านต้องสะสมมามาก แม้แต่ผู้ที่เป็นพระอัครสาวก ท่านก็เป็นพหูสูตรในชาติก่อนๆ ของท่าน อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปสำหรับผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญา แต่ถ้ายิ่งด้วยศรัทธา เพิ่มขึ้นอีก ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ ๑๖ อสงไขยแสนกัป แต่ไม่เคยท้อถอยเลย เพราะรู้ว่าสิ่งที่มีจริงๆ อย่างนี้ ต้องมีความลึกซึ้ง แล้วก็ต้องเป็นความจริงที่สามารถจะรู้ได้จากการที่ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ สะสมบารมีที่จะเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าลักษณะของเห็น มีจริง ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ ลักษณะของได้ยินก็มีจริง ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ก็เป็นสภาพธรรมที่ต่าง

    นี่เป็นแนวความคิดสำหรับผู้ที่ได้ฟัง แต่สำหรับผู้ที่อบรมตัวเองเพื่อที่จะถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะหนีแนวนี้ได้ไหมคะ เพียงแต่ว่าด้วยพระองค์เอง จากการที่ได้ฟัง ความเป็นพหูสูตร จากพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มากมายหลายพระองค์ จนกระทั่งหนทางของปัญญาค่อยๆ นำทางตรงไปสู่ลักษณะของสภาพธรรม จนถึงวันที่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง

    แต่สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ก็คือ หนทางเดียวกัน จะผิดไปจากหนทางนี้ได้ไหมคะ จากสิ่งที่มีจริง ค่อยๆ ฟัง ขณะฟังก็เป็นสติระดับหนึ่งเกิดพร้อมด้วยปัญญา เป็นกุศล และก็สติด้วย แต่ถ้าไม่ใช่สติสัมปชัญญะ จะไม่รู้ลักษณะของสติ หรือว่าจะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังทำงาน ทำกิจการงาน ที่เราพูดว่าขันธ์ ๕ ก็ได้แก่ สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ๓ คือ จิต เจตสิก รูป ขณะนี้กำลังเกิดดับ

    ก็เป็นเรื่องที่อีกไกล แม้แต่ว่าชีวิตของใครจะยาวนานไป สักเท่าไรก็ตาม แต่ถ้าไม่ทิ้งการที่เห็นประโยชน์สูงสุด เพราะว่าเราจะจากโลกนี้ไป ทั้งๆ ที่ตามที่ทรงแสดง จากไปทุกขณะ เพราะว่าขณะที่เกิด ดับ ไม่กลับมาอีกเลย แต่สืบต่อไม่ปรากฏเลยว่าสูญสิ้น เพราะว่ายังมีภวังคจิตที่ดำรงความเป็นบุคคลนี้ ถึงแม้ว่าจะเห็น จะได้ยินอย่างไร ความเป็นบุคคลนี้ก็ยังไม่หมดไป แต่วันหนึ่งเมื่อถึงแก่กรรม อย่างในภาษาไทยที่ใช้ “ถึงแก่กรรม” ที่จะทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ก็จะเอาอะไรไปไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากปัญญา และทุกสิ่งทุกอย่างที่สะสมมา เราเกิดมาต่างกัน เพราะการสะสมต่างกัน แม้แต่ความคิดขณะนี้ก็ต่างกัน ชาติหน้าก็จะต่างกันอย่างนี้ และชาติต่อๆ ไปก็เพิ่มสิ่งที่เราได้สะสมทางฝ่ายกุศล เพื่อที่จะสามารถดับทางฝ่ายอกุศลได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญาที่สะสมไปจากขณะนี้ ก็จะไม่ถึงวันนั้น ก็หวังว่าทุกท่านก็คงจะฟังไปเรื่อยๆ แต่ว่าชีวิตจริงๆ ไม่ต้องเปลี่ยน ไม่ใช่ไม่ต้องมีอริสมาแสดงให้เรา เพราะเป็นเรื่องธรรมดา จะมีอะไรเมื่อไร อย่างไร ใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สติระลึกก็ได้ อย่างท่านพระสารีบุตรกับท่านพระมหาโมคคัลลานะท่านก็ไปดูการละเล่น แล้วท่านก็เกิดความสลดใจ เพราะว่าท่านสะสมมา เรื่องความสลดใจหรือไม่สลดใจ ก็อย่าเอามาพยายามเป็น พยายามฝืน หรือพยายามทำ นั่นคือลึกลงไปก็เราอีกนั่นแหละที่ทำ ที่ต้องการ

    เพราะฉะนั้น ละเอียดมาก เรื่องของความเป็นตัวตน ก็คือทุกอย่างไม่ว่าจะเมื่อไร ขณะไหนทั้งสิ้น ถ้ามีปัจจัยของกุศลจิตจะเกิดก็เกิด อยากให้เกิด ถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด

    นี่ก็เป็นเรื่องที่จะค่อยๆ รู้ตัวเองตามความเป็นจริง แล้วก็เป็นผู้ที่ไม่ต้องถามใครเลยว่า ขณะนี้รู้แค่ไหน หรือว่าปัญญาเกิดบ้างหรือยัง เพราะเหตุว่าเป็นปัญญาของเราเอง ถ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงพระธรรมที่จะให้ปัญญาของเราเองเกิด จะช่วยเราได้ไหมคะ ไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น พระคุณยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ทำให้เราได้ฟัง ได้พิจารณา ได้เกิดปัญญาของเราเอง ก็ยาวมากเลย ไม่ทราบใครมีปัญหาหรือยัง

    คุณซีรู้อย่างนี้กลัวตายไหม กำลังหลับก็ตายได้ แต่ก่อนจะตาย กรรมหนึ่งจะทำให้ชวนจิตเกิดขึ้น เป็นชวนะวาระสุดท้าย แล้วแต่ว่ากรรมที่จะทำให้เกิดเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม ซึ่งก็เลือกไม่ได้ ถ้าเลือกได้ พวกสัตว์เดรัจฉานก็ไม่มี คนในนรกก็ไม่ต้องมี แต่ว่าเพราะเลือกไม่ได้ แต่ว่าสิ่งหนึ่งซึ่งควรจะทำอย่างยิ่ง ควรจะบำเพ็ญเจริญต่อไป ก็คือกุศล เพราะว่ากุศลเท่าไรก็ไม่พอ อย่างไรก็ไม่พอจนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ไม่ต้องกลัวตายด้วย เดี๋ยวนี้ก็ตายได้ เพราะว่าไม่รู้ตัว ตอนตายไม่รู้ตัว แต่ก่อนตายอาจจะยิ้ม อาจจะหัวเราะ อาจจะตกใจ อาจจะเจ็บปวด อะไรก็ได้


    หมายเลข 9375
    21 ส.ค. 2567