สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๘๕
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๘๕
ผู้ฟัง กระผมมีความสนใจ ทำไมบ่อมีผู้ใดเอามาสอน พวกที่เอามาพูด เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ อย่างคำสอนแบบนี้ ปรมัตถธรรมนี้นะ
ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นบุญที่ได้สะสมมาแล้ว ถ้าไม่ใช่บุญที่สะสมมาแล้วก็จะไม่ได้ยิน ก็เห็นบุญที่ได้สะสมมาของแต่ละท่าน ที่ต้องสะสมในการที่ท่านจะสนใจ ศรัทธาที่จะเห็นประโยชน์คุณค่าของพระธรรม เพราะว่าบางคนผ่านไปผ่านมา มีเสียงก็ไม่ฟัง วิทยุเปิดก็ไม่ฟังเหมือนกันก็มี ก็แล้วแต่การสะสม
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์จะช่วยกรุณาแนะนำว่า มีแนวทางอย่างไรที่กระผมจะเข้าถึงลักษณะของธรรมที่เป็นกายวิญญัติรูปหรือวจีวิญญัติรูปในชีวิตประจำวัน
ท่านอาจารย์ ทำไมจะต้องเจาะจงกายวิญญัติรูปกับวจีวิญญัติรูปล่ะคะ
ผู้ฟัง เพราะว่าบางทีกายวิญญัติรูปหรือวจีวิญญัติรูปก็ปรากฏกับ ความรู้สึกในขณะนั้น ผมไม่รู้เลยว่า อันนี้เป็นธรรมที่จะต้องอบรมศึกษาในชีวิตประจำวัน
ท่านอาจารย์ ถ้ายังคงอยากรู้กายวิญญัติหรือวจีวิญญัติ จะไม่รู้รูปอะไรเลย เพราะกำลังอยากรู้กายวิญญัติกับวจีวิญญัติ แต่ใครจะรู้รูปใด ใครจะรู้นามใด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย การสะสม แสดงความต่างของบุคคล แม้แต่ปัญญาของท่านพระสารีบุตรกับปัญญาของท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ไม่เท่ากัน ท่านเป็นพระอรหันต์ด้วยกัน เพราะฉะนั้น การที่เราจะอยากรู้รูปหนึ่งรูปใด นามหนึ่งนามใดโดยเฉพาะ ต้องเลิก เลิกอยาก ขณะนี้บังคับสติได้ไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่ได้ครับผม
ท่านอาจารย์ ถ้าสติจะเกิดระลึกสิ่งที่คุณประทีปไม่อยากรู้ ได้ไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ถ้าสติจะเกิดระลึก จะบังคับได้อย่างไร
นี่คือความเป็นอนัตตา ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมีแล้ว เกิดแล้ว กำลังปรากฏ ไม่มีใครทำเลย ไม่มีใครสักคนทำได้ มีเหตุปัจจัยที่เห็นเกิด เห็นเป็นนามธรรม ใครทำได้ สิ่งที่กำลังปรากฏก็เป็นรูปธรรมที่กระทบกับจักขุปสาท ใครทำได้ ใครทำรูปธรรมนี้ได้ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงในความเป็นอนัตตา แล้วก็เลิกคิดที่จะอยากรู้โน่น รู้นี่ แล้วแต่ว่าสติปัฏฐานจะเกิดระลึกอะไร
ผู้ฟัง อันนี้ก็อาจจะเป็นความจริงอย่างที่ท่านอาจารย์ว่า ความจริงพอฟังเรื่องที่ท่านอาจารย์บรรยายเรื่องนี้ ผมรู้สึกผมเข้าใจมากเลย แต่ทำไมไม่เกิดกับเราเลย
ท่านอาจารย์ ยังมีผมอยากอยู่ ทำไมไม่เกิดกับเราเลย อันนี้กั้นแน่นอน สมุทัยก็แล้ว เมื่อกี้นี้ก็พูดกันถึงว่าโลภะเป็นอย่างไร มากมายมหาศาลแค่ไหน
ผู้ฟัง ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ได้เตือนสติ เพราะว่าพอฟังรู้เรื่อง ก็อยากเกิดทันทีลักษณะอย่างนั้น แล้วมันมีอีกเรื่องหนึ่งที่อาจารย์เคยได้เตือนผมไว้ว่า ถึงแม้จะศึกษาเรื่องราวของสภาพธรรมมา คิดว่าเข้าใจอย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าไม่มีปัญญาอีกขั้นหนึ่งที่จะเริ่มระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรม คือได้แก่สติปัฏฐาน แล้ว เราจะไม่รู้จักตัวจริงของสภาพธรรมนั้นๆ เลย เพียงแต่เข้าใจเรื่องราวเท่านั้น ความเห็นที่ถูกต้องไหม เพราะว่าจะได้ยืนยันอีกครั้ง ครับผม
ท่านอาจารย์ แล้วก็จะไม่รู้จักพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพราะอาจจะคิดว่า ท่านไตร่ตรอง แล้วท่านก็เอามาสอนเรา ซึ่งไม่ใช่ แต่เป็นการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่การคิดไตร่ตรองโดยเหตุโดยผล
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์จะอธิบายให้ผมได้เข้าใจได้ใช่ไหมว่า เมื่อเวลาสติปัฏฐาน เกิด มีความเข้าใจอย่างไรในเรื่องรูปธรรม และนามธรรมนั้นๆ
ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีแข็งไหม
ผู้ฟัง มีครับผม
ท่านอาจารย์ ใครรู้
ผู้ฟัง ก็คงผมรู้
ท่านอาจารย์ แต่ฟังมาแล้วเข้าใจได้ว่า ขณะที่แข็งปรากฏ ต้องมีสภาพรู้แข็ง ขณะที่กำลังแข็งจริงๆ ปรากฏ จะมีอย่างอื่นรวมอยู่ด้วยในที่นั้นด้วยไหม
ผู้ฟัง ถ้าตามความเป็นจริง จิตรู้อารมณ์ได้ทีละ ๑ ขณะนั้นจะไม่มีอะไรเลยนอกจากแข็ง
ท่านอาจารย์ จนกว่าจะถึงขณะนั้น
ผู้ฟัง จนกว่าจะถึงขณะนั้น
ท่านอาจารย์ ลองคิดดู เพราะว่านี้เป็นความจริง เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว เป็นการประจักษ์ ที่ใช้คำว่า “ประจักษ์” ก็คือต่างกับขณะที่อย่างอื่นยังรวมกันอยู่ แต่ถ้าเป็นการประจักษ์จริงๆ จะไม่มีอะไรรวมอยู่ในที่นั้นเลย นอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏกับธาตุรู้หรือสภาพรู้ การที่จะรู้ว่า สติปัฏฐานเกิด ก็คือวันหนึ่งๆ เราก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น คิดนึก ลิ้มรส รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มี แล้วก็ผ่านไปเป็นเรื่องเป็นราว
โดยการศึกษาทราบว่า ถ้ามีการรู้รูปหนึ่งรูปใดทางหนึ่งทางใดใน ๕ ทวาร ดับไปแล้วก็จริง ภวังคจิตเกิดคั่นแล้วก็จริง มโนทวารวิถีก็ยังรับรู้รูปที่ทางทวารนั้นรู้แล้วก็ดับไป อันนี้โดยการศึกษาทุกคนทราบว่า ต้องเป็นอย่างนี้ เปลี่ยนไปให้มีแต่ปัญจทวารทวารเดียว วาระเดียว ไม่ให้มีมโนทวารวิถีรับรู้ต่อ ได้ไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ปกติของเรา พอรับรู้ทางกาย ทางใจคิดเรื่องต่อทันที แต่แทนที่จะคิดเรื่อง ก็ระลึกคือรู้ลักษณะ ได้ไหมคะ แทนคิด ไม่ได้คิด แต่กำลังรู้ตรงลักษณะนั้น มีลักษณะของสภาพธรรมนั้นปรากฏให้เข้าใจ ขณะนั้นคือสติปัฏฐาน ถ้ายังไม่เกิด ก็ยังไม่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นอย่างไร แต่เมื่อไรเกิด ก็รู้ว่า แม้เพียงนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ แต่ขณะนั้นมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ โดยเราไม่ได้คิด หวัง ต้องการ ที่จะให้เป็นอย่างนั้น แต่สภาพนั้นก็เกิด คือ ระลึกลักษณะนั้น ก็เป็นการเข้าใจเท่าที่สติปัฏฐาน ที่มีสติสัมปชัญญะเกิด ชั่วขณะๆ
ผู้ฟัง ก็คงจะต้องฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ แล้วก็อย่าแอบรอ
ผู้ฟัง บางทีเราไม่ได้ตั้งใจจะแอบรอ มันก็ไปแอบรอเราอยู่ก่อนเหมือนกัน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่า เราเป็นอะไรจริตคะ ตรงนี้ค่ะ ที่จะรู้อัธยาศัยของเราเอง
ผู้ฟัง อันนี้ เขาเรียกว่าโลภจริต
ท่านอาจารย์ ค่ะ ตัณหาจริต โลภจริต ก็แล้วแต่
รู้ว่าเสียเวลารอ รอทำไม ก็ระลึกลักษณะของสภาพธรรม ถ้าไม่ระลึกก็ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ถ้าเราได้ยินคำว่าขันธ์ ๕ รู้จักชื่อ แล้วก็ลืม รูปทุกชนิดไม่ว่าเดี๋ยวนี้ หรือในอดีต หรืออนาคตที่จะเกิด เป็นรูปหยาบ รูปละเอียด งาม ประณีต หรือเลว อย่างไรก็แล้วแต่ ก็คือรูปทั้งนั้น เป็นแต่เพียงรูป ไม่เป็นอย่างอื่นไปได้ เป็นรูปขันธ์
เวทนา ความรู้สึก เราก็รู้สึกทุกขณะจิต เฉยๆ บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง ไม่เคยขาดเวทนาเจตสิกเลย ก็เป็นเวทนาขันธ์ สัญญา จำ ก็จำทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่ปรากฏนั้นคืออะไร ก็เป็นสัญญาขันธ์ เจตสิก ๒ ดวงก็เป็นขันธ์ ๒ อย่าง คือ เป็นเวทนาขันธ์กับสัญญาขันธ์ เจตสิกที่เหลือ ๕๐ ขันธ์ แล้วเราก็ลืมอีก เป็นหน้าที่ของสังขารขันธ์ทั้งนั้นเลย ไม่ใช่หน้าที่เรา แม้ความคิดที่คอย ปรุงแต่งมานานแสนนานที่จะรอ จะคอย โดยไม่รู้ ก็รอคอยต่อไป แต่ละขณะที่คอย ก็เพิ่มการคอยเข้าไปอีก เพิ่มความหวังเข้าไปอีกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น หนทางที่เพียรถามว่า หนทางอะไร หาหนทางที่จะให้รู้สภาพธรรม แต่ในขณะเดียวกัน โลภะเขาก็ทำหน้าที่โลภะของเขาอยู่เรื่อยๆ คุณประทีปเห็นดอกไม้ไหมคะ
ผู้ฟัง เห็นครับผม
ท่านอาจารย์ ต้องคิดไหมว่า ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
ผู้ฟัง ไม่ต้องคิด
ท่านอาจารย์ ทำไมรู้
ผู้ฟัง เพราะเขาปรุงแต่งเรียบร้อย ธรรมเขาทำหน้าที่ของเขาเรียบร้อยแล้ว
ท่านอาจารย์ วันหนึ่งถ้าธรรมเขาปรุงแต่ง ก็รู้ว่าขณะนั้นเป็นนามธรรมหรือเป็น รูปธรรม