สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๘๗
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๘๗
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตอนเริ่มก็เป็นสติปัฏฐานที่เป็นปกติระลึกลักษณะสภาพธรรม ขณะนั้นปัญญามี น้อย แต่รู้ว่า นี่เป็นหนทางที่ปัญญาสามารถที่จะอบรม จนกระทั่งประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ทรงแสดงทุกอย่าง แต่ต้องอาศัยกาลเวลา และเป็นผู้ที่มีความมั่นคงในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม แล้วก็จะรู้ว่าขณะไหนเป็นโลภะที่จะกั้น แม้เพียงนิดเดียว ส่วนใหญ่ที่ไปสำนักปฏิบัติ ก็มีเครื่องจูงใจว่า เขาได้ใช้เวลา แล้วก็มีความเพียร คือมีความเป็นตัวตนที่จะใช้เวลาในช่วงที่เขาเข้าไปสู่สำนักปฏิบัติ ช่วงนั้นเขาจะมีความเพียร ไม่นอนบ้าง อะไรบ้าง เพราะได้ยินมาว่า ผู้ที่จะอบรมเจริญปัญญา ท่านก็จะเป็นผู้ที่นอนน้อย แต่ว่าจริงๆ แล้ว การนอนน้อยด้วยปัญญาหรือด้วยความเป็นเรา เพราะว่าความลึกซึ้งของธรรมทั้งหมดจะมาเลย ถ้าเป็นเราซึ่งยังไม่มีปัจจัยที่จะให้สติปัฏฐานเกิดบ่อยๆ แต่เราจะนอนน้อยลงวันนี้ ลองคิดดู กับการที่เป็นผู้ที่มีปกติจริงๆ ๖ทาง จะหลับ หรือจะตื่น เมื่อสติปัฏฐานมีปัจจัยก็ระลึก จะนอนหรือจะนั่งก็ตามแต่ เพราะว่าเขาจะเรื่องละโดยตลอด จะดูเอลวิส หรือไม่ดูเอลวิสก็แล้วแต่ คือเครื่องที่เขาจะมาชวนให้ไม่ทำอย่างนั้นหรือไม่ทำอย่างนี้ เพื่ออย่างนั้นอย่างนี้จะมาตลอด ต้องเป็นคนที่อาจหาญ ร่าเริง แล้วก็ตรงกับสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะมีเหตุปัจจัยในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น ก็จะฝืนกระแสของโลภะหลายอย่าง เพราะเหตุว่าโลภะก่อนที่จะมีหนทางที่ถูก ก็มีความต้องการในทางที่ผิด ก่อนนั้นก็อาจจะเป็นโลภะในรูป ในเสียง ในกลิ่น เป็นปกติ แต่คนนั้นก็คิดว่า การอบรมเจริญปัญญาต้องละทิ้งพวกนี้ นุ่งขาวห่มขาวบ้าง หรือไปสู่ที่ไหนๆ ก็ตามแต่ แต่ไม่รู้ว่า ปัญญาของเขาได้มีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ แค่ไหน ในความลึกซึ้งของธรรมนั้นๆ
เพราะฉะนั้น ไปโดยความไม่รู้ แต่ผู้ที่เป็นพระภิกษุบวชแล้วฟังพระธรรม เวลาที่พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริก ติดตามไปเพื่อฟังพระธรรม ทั้งๆ ที่เป็นภิกษุ ก็ลองคิดดู แม้อย่างนั้นก็ยังตรัสว่า คูกรภิกษุทั้งหลาย เตือนว่า ขณะนี้มีสิ่งซึ่งจะช่วยให้เขาเกิดปัญญา เวลาที่สติปัฏฐานระลึก เพราะว่าสติปัฏฐาน ธรรมดาแล้วก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในชีวิตประจำวัน แต่ปัญญาที่สามารถที่จะถึงระดับขั้นที่ฟังความลึกซึ้งของสภาพธรรม เพื่อที่จะเกื้อกูลว่า เป็นอนัตตาของสติปัฏฐานที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ก็มีการฟัง แล้วมีข้อความอีกเยอะแยะ เป็นผู้ยิงไกล ยิงไว ก็คือปกติอย่างนี้ สติสามารถที่จะแยกรู้ว่า ขณะไหน อะไรเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน ขณะไหน อะไรไม่ใช่อารมณ์ของสติปัฏฐาน เช่น บัญญัติ หรือว่าเรื่องราว ซึ่งต้องมีเป็นประจำ แทรกสลับอย่างรวดเร็ว อย่างในห้องขณะนี้ก็มีคุณแจ๊ค คุณคม แต่มีเห็นซึ่งก็เป็นสภาพธรรม แม้แต่การรู้ว่าเป็นใคร หรืออะไร ก็เป็นธรรมหมด
เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันทั้งหมด ปัญญาจะรู้ตามความเป็นจริง แต่ถ้าเราไปด้วยความไม่รู้อย่างนั้น โลภะพาไป แล้วมีหนทางไหมที่พอเราไปแล้วเราก็พอใจที่เราได้ไป ได้พากเพียร ได้ทำอะไรหลายอย่าง แต่ชีวิตประจำวันสติปัฏฐานไม่เกิดเลย นี่เป็นหนทางซึ่งเรียกว่า ลึกซึ้งโดยการที่จะเข้าใจ แล้วต้องอาจหาญ ร่าเริง ที่จะไม่เป็นเราที่จะไปพากเพียรแล้วก็ไม่พัก คือ ไม่ใช่ท้อถอย แต่เราฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจ แล้วรู้ว่าขณะที่สติปัฏฐานเกิดตามปกติ แม้เล็กน้อย ก็ไม่ได้ท้อถอย ทั้งไม่พัก และไม่เพียร ก็เป็นเรื่องที่สติปัฏฐานทั้งนั้นเลยที่ทรงแสดงว่า การอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง แล้วก็รู้สภาพธรรมตามปกติ แล้วสมุทัยเป็นเรื่องที่ต้องละ เพราะว่าไม่ว่าจะทรงแสดงกับใครก็อวิชชาหุ้มห่อ แล้วโลภะก็ฉาบทา สภาพธรรมแท้ๆ ก็ถูกหุ้มห่อปิดกั้น จนกระทั่งไม่สามารถที่จะหยั่งถึงลักษณะจริงๆ ซึ่งเกิดแล้วก็ดับได้ แต่ถ้าค่อยๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรม แล้วก็ไม่มีโลภะมาฉุดลากชักจูงไปให้ทำอย่างอื่นเลย รู้ว่าเป็นเรื่องละ ก็เบาสบาย ชาตินี้เราจะมีสติปัฏฐานเกิดมากน้อยเท่าไร ชาติก่อนมีสติปัฏฐานเกิดมากน้อยเท่าไร เวลาอบรมแล้วถึงชาติที่เราสามารถรู้ได้เลย สติสามารถที่จะเกิดได้ ประจักษ์แจ้งได้ แต่ต้องส่องไปถึงว่า ต้องมีการอบรม หรือต้องมีความเข้าใจในลักษณะของสภาพนั้นๆ จริงๆ ไม่ใช่ว่า ไปทำให้เกิดขึ้น แต่ความเข้าใจต้องมีในขณะนั้นที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ
หนทางยากไหมคะ แต่ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เคยกล่าวที่ไหนเลยว่า อริยสัจ ๔ ไม่ลึกซึ้ง ทั้ง ๔ อริยสัจ ทุกขอริยสัจนี้ลึกซึ้งแน่ เพราะกำลังเกิดดับ สมุทัย ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเครื่องกั้น แล้วก็เป็นเครื่องที่ทำให้สภาพธรรมไม่ปรากฏ เราก็ไปพยายามที่จะคิดว่า นั่นคือหนทาง
ผู้ฟัง แล้วขณะนั้นก็เพียร ที่มีความเป็นตัวตนที่ไปพยายามทำอะไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ในพระไตรปิฎกมีมิจฉามรรค ๘ มีสัมมัตตะ ๑๐ ความเป็น๑๐ ซึ่งเนื่องมาจากมิจฉามรรค รวมทั้งวิชชา คือ เขาเข้าใจว่าเป็นโลกุตตระ คิดว่าพ้นด้วย