สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๘๘
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๘๘
ท่านอาจารย์ เวลานี้เราอยู่ที่นี่ แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา คำนี้จะได้ยิน ใช่ไหมคะ แล้วเราเข้าถึงความหมายอรรถของ “เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา“ แค่ไหนในขณะที่กำลังเห็น เราไม่ได้รู้เลยว่า แท้ที่จริงความคิดของเรา เอาคน เอาสัตว์มาจากสิ่งที่ปรากฏทางตา จะไปเอามาจากไหน ถ้าไม่มีตาที่จะเห็น นี่คุณอรรณพ นั่นคุณแจ๊ค คุณศุกล ถ้าเป็นคนตาบอดเขาก็คลำ แต่เขาจะไม่มีความจำรูปร่างหน้าตาสีสันขณะนี้เลย เพียงเท่านี้ เพียงความเข้าใจให้ถูกว่า เราเอาบัญญัติต่างๆ เรื่องราวต่างๆ เป็นโคมไฟ เป็นโต๊ะ ออกมาจากสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น แท้ๆ มันเพียงปรากฏ
นี่คือมีเราในรูปหรือเปล่า หรือมีคนนั้น คนนี้ มีสิ่งต่างๆ ในรูปที่ปรากฏ ถ้าคุณซียังไม่เข้าใจตรงนี้ คืนนี้ฝันเห็น เห็นเลยแหละ ใช้คำว่าเห็น เราจำเรื่องราวจากสิ่งที่ปรากฏ เฉพาะเรื่องราว เราไม่เคยมีความรู้ว่า นี่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเลย ในใจของเรามีแต่เรื่องราวจากสิ่งที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น เราฝันได้ทุกเรื่อง ฝันเรื่องขับรถยนต์ ฝันเรื่องคนนี้มาทานข้าวด้วยกัน จะฝันถึงน้ำตกไนแองการา หรือจะฝันอะไรๆ ก็ได้ เอาความคิดนึกเรื่องราวต่างๆ มาจากสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่สิ่งที่ปรากฏทางตานี่ดับ การที่จะลอกความเป็นตัวตน ความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดออกจากสิ่งที่ปรากฏ มันจะยากสักแค่ไหน ในเมื่อเราสะสมอบรมมาที่จะไม่รู้เลยว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่การเจริญอบรมปัญญาที่เพิ่มขึ้นจะทำให้คลาย สามารถที่พอเห็นก็รู้ได้ว่า นี่เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็เรื่องราวทั้งหลายก็คือขณะที่กำลังคิดนึก มีจริงๆ แต่คิดนึกทางมโนทวาร ท่านถึงได้แสดงอย่างละเอียดว่า ทางทวารไหนที่สามารถจะรู้อะไรๆ ได้ ที่สามารถที่จะคิดจะนึก ไม่ใช่ทางปัญจทวารเลย
เพราะฉะนั้น ธรรมทุกอย่างตรง จริง แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า สิ่งที่เกิดในขณะนี้ ถ้าประจักษ์ก็คือสามารถที่จะรู้ว่า เมื่อเกิด ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครทำ เสียงนี้เกิดแล้ว ปรากฏแล้ว จะไม่มีการคิดว่า เป็นเราที่ทำ ถ้ามีความรู้จริงๆ ในขณะนั้น จะสามารถรู้ถึงปัจจัย โดยไม่ต้องเอ่ยเป็นคำ เช่น เวลาที่กำลังมีแข็งปรากฏ ธรรมดาๆ กายวิญญาณ แต่ตอนที่สติปัฏฐานเกิดก็รู้ลักษณะที่แข็ง ไม่ผิดจากที่กายวิญญาณรู้เลย แข็ง หรือถ้าจะระลึกลักษณะของนามธรรม ก็มีสภาพรู้แข็ง เฉพาะตรงนั้นไม่มีอื่นเลยทั้งสิ้น จะมีไม่ได้ในขณะนั้น จะรู้ไหมคะว่า นี่คือมรรคปัจจัย โดยที่เราไม่ใช่ชื่อเลย แต่เรารู้ปัจจัยว่า นี่เป็นหนทาง หนทางเดียว ที่จะทำให้ปัญญาสามารถที่จะไม่มีอะไรอื่น รู้ว่าขณะนั้นก็มีแต่เพียงสภาพธรรมตรงนั้น ตรงอื่นไม่มี แต่ถ้าเป็นอัตตสัญญา จำไว้หมดเลย เรากำลังนั่ง แขนขาเราก็มี แล้วแข็งตรงนี้ แข็งตรงนั้น
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างต้องออกมาตรงตามที่ทรงแสดง แล้วก็มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่เกิดแล้วก็ดับ จึงจะสามารถประจักษ์ทุกขลักษณะ แต่สิ่งที่ผ่านไปแล้วจะกลับมาปรากฏการเกิดดับได้ไหม เห็นไหมว่า มันต้องละเอียด แล้วก็ทุกอย่างต้องยันกันหมดได้ อ่านแล้วก็เจอพยัญชนะ แล้วก็เข้าใจตามความคิดนึกของเรา แต่จะตรงไหม
ผู้ฟัง คือแม้แต่พยัญชนะตรงนี้ก็ยังไม่เคยเจอครับ หมายความว่าพยัญชนะที่ผมมีความสับสน แม้แต่ตรงนี้ก็ยังไม่เคยเจอ เพราะฉะนั้น ก็เพียงแต่ได้ยินได้ฟังมาจากผู้อื่น แล้วก็ยังไม่แน่ใจเท่านั้นเอง
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเรามีความมั่นคง คือ การศึกษาธรรม พระธรรมเป็นที่พึง เป็นสรณะ แล้วปัญญาของเราสามารถเข้าใจจริงๆ ในอรรถ อันนั้นจะเป็นที่พึ่ง จะได้ยินได้ฟังอย่างไร รู้ได้เลย คำพูดนั้นถูกหรือผิด ไม่ว่าใครพูด จะอ้างตำรับตำราที่ไหนก็ตาม อ้างมาได้ แต่ว่าความจริงคือย่างไร ความเข้าใจอรรถของสิ่งนั้นคืออย่างไร จะเอาสิ่งที่มันดับไปแล้ว กลับมาย้อนให้มันเกิด แล้วเป็นอารมณ์เพื่อที่จะประจักษ์ทุกขลักษณะได้หรือ ไม่มีทาง ต้องยันกันหมดได้ นั่นคือความถูกต้อง แต่ถ้ายังเป็นตรงนี้ ตรงนั้น มันไม่สอดคล้องกัน มันจะถูกได้อย่างไร ถ้าถามอย่างนี้จะตอบอย่างไร เราก็ถึงจะเข้าใจ ความที่เป็นปรมัตถธรรม มีปัจจัยเกิดแล้วดับ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ถึงการที่จะหยั่งลงไปถึงลักษณะของสภาพธรรมได้ เพราะว่าลักษณะของสภาพธรรมความจริงเป็นอย่างนี้ เราต้องคิด อะไรที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก ในวิสุทธิมรรค ไม่ว่าจะคัมภีร์ไหน โดยปัจจัยหรือโดยอะไรก็ตาม คิดไตร่ตรองเท่าที่ปัญญาของเราสามารถรู้ได้ เราต้องรู้เลย ศึกษาพระไตรปิฎก คือพระปัญญาของพระพุทธเจ้า ใครรู้ พระอรหันต์ทั้งหลายทรงจำสืบต่อกันมา แล้วเราเป็นใครยุคนี้ เราสะสมมาเท่าไร สามารถที่จะเข้าถึงความเข้าใจอันนั้นได้มากน้อยแค่ไหน สิ่งใดที่เกินสติปัญญาสามารถ อย่าไปพยายามทำให้มันเป็นปัญญาของเรา เพราะมันเป็นไม่ได้ ของเราก็มีการไตร่ตรองที่ว่า อะไรที่สามารถจะรู้ได้ อย่างสติปัฏฐาน อะไรเป็นอารมณ์ ถ้าเรามีความมั่นใจจริงๆ ว่า ต้องถึงทุกขอริยสัจจะ สภาพเกิดดับอันนั้นต้องเป็นสภาพปรมัตถ์อย่างเดียว