สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๘๙


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๘๙


    คุณศุกล ผมอยากฟังความชัดเจนอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “ปริญญา” ทำไมต้องเอาเรื่องอย่างนี้มากำกับวิปัสสนาญาณอีก ด้วยเหตุผลอะไรครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็คือเบื้องต้นของการที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งถ้าไม่มีการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมเลย จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่เพียงชื่อ อย่างนามธรรม นามธาตุ ไม่ใช่เพียงชื่อ หรือแม้แต่มนินทรีย์ ก็ไม่ใช่เพียงชื่อ หรือแม้แต่มนายตนะ ก็ไม่ใช่เพียงชื่อ เป็นลักษณะของธาตุ ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลย แล้วก็เป็นธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่ แล้วสามารถที่จะรู้ไหมในขณะนี้ที่กำลังกระทบสัมผัสว่า ธาตุรู้เป็นใหญ่ ฟังอย่างไรก็ติดก็ติดอยู่ที่คำว่าเป็นใหญ่ แต่อรรถลักษณะที่เป็นใหญ่จะปรากฏเมื่อไม่มีสิ่งอื่นใดปรากฏเลย นอกจากขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏทางมโนทวาร เพราะขณะนี้เราจะพูดถึงเรื่องจิตเห็น มันก็มีคิดนึก แล้วมันก็มีเสียง มโนทวารไม่ได้ปรากฏเลย ทั้งๆ ที่สลับคั่นอยู่ทุกวาระ แล้วลักษณะของความเป็นใหญ่ของธาตุรู้ คือ มนินทรีย์จะปรากฏได้อย่างไร แต่ถ้าในขณะนั้นไม่มีอะไรเหลือเลย ซึ่งความจริงต้องเป็นอย่างนั้น เพราะว่าจิตในแต่ละวาระจะเกิดขึ้นจะรู้อารมณ์เฉพาะอย่าง เมื่อไรที่ไม่มีอะไรเหลือเลย นอกจากสิ่งที่มีจริงๆ คือ ธาตุรู้กับสิ่งที่ถูกรู้ โลกจะไม่เหมือนกับโลกที่เราเห็น เพราะว่าโลกที่เราเห็นมีพื้น มีโลก มีความหนาแน่น มีอะไรทุกอย่าง ที่มันเหมือนกับว่า มันไม่มีอะไรจะเข้าไปแทรก เป็นแต่ละส่วน แต่ละอย่าง แต่ละชนิดได้เลย ทั้งๆ ที่สภาพธรรมทางตาก็ไม่ใช่ทางหู ไม่ใช่ทางจมูก ไม่ใช่ทางลิ้น มันมีสิ่งที่แยกขาดจากกันเป็นแต่ละทาง แต่ว่าเมื่อยังรวมแล้วก็มีความรู้ลึกว่า เป็นเรา ถึงแม้ว่า ถูกถามว่ามีฟันไหม ก็ยังบอกว่ามี แล้วมันจริงหรือเปล่า คุณซี หมายความว่า จริงๆ แล้วสิ่งใดมีเมื่อเกิดขึ้นเท่านั้น จะไม่ใช่ตอนที่เราไปทรงจำไว้ว่า ยังมีอยู่ ยังมีอยู่ ทั้งตัวของเรายังมีหมด หัวใจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ยังมีหมด ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าไม่คิด สิ่งนี้ก็ไม่มี ลักษณะของผมที่เป็นผมที่เรากำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างมีเมื่อเกิดขึ้น แล้วก็กำลังเป็นอารมณ์ของจิตด้วย ถึงจะมีช่วงนั้นขณะนั้นที่จะประจักษ์ได้ว่าเกิดแล้วก็ดับ มีจริง แต่ว่าต้องขณะที่เกิด

    เพราะฉะนั้น จึงมี ๒ คำ สังขารธรรมกับสังขตธรรม สังขารธรรม หมายความว่าต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ใช่เกิดขึ้นมาได้เอง แต่สังขตธรรม ปรุงแต่งแล้วเกิด คือ เดี๋ยวนี้ที่ปรากฏเพราะเกิด ปรุงแต่งแล้วจึงเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้น กว่าจะสติปัฏฐานอบรม แล้วก็ตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์ว่า โลกมันไม่ใช่โลกอย่างนี้ จะไม่มีอะไรเหลือเลย นอกจากสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้กับสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ ขณะนั้นเป็นวิปัสสนาญาณ เป็นการเห็น เป็นการประจักษ์ เป็นปัญญาซึ่ง ไม่มีความสงสัยในอรรถของธาตุรู้ นามธรรมกับรูปธรรม เพราะว่าญาณนั้น นามรูปปริจเฉทญาณ เป็นปัญญาที่ประจักษ์ความต่างกันของนามธรรม และรูปธรรม ไม่มีความสงสัยเลย อรูปพรหมมีได้แน่นอน เพราะที่นั่นไม่มีรูปเลย มีแต่ลักษณะของธาตุรู้ แล้วสำหรับรูปธรรมมันจะน้อยมาก เพราะว่ามันมีสิ่งอื่นที่ปรากฏสืบต่อ วิปัสสนาญาณจะไม่มีการรู้เพียงอย่างเดียว เหมือนเดี๋ยวนี้ มันสืบต่อตั้งเท่าไร เวลานี้อะไรจะปรากฏบ้าง ถ้าไม่ใช่วิปัสสนาญาณ มันก็ปรากฏ แต่ว่าไม่มีปัญญาที่จะรู้ เพราะว่ามันต่อกันจนกระทั่งไม่ปรากฏมโนทวารเลย แต่วิปัสสนาญาณ มโนทวารปรากฏถึงสภาพซึ่งสามารถที่จะรู้สิ่งที่เป็นรูปต่อจากทางปัญจทวาร มีรูปปรากฏให้รู้ทางมโนทวาร ไม่มีความสงสัยเลยว่า มันแยกไม่ออก เพราะว่ามันเร็วมาก เราไม่ต้องไปคิดถึงทางปัญจทวารเลย ถ้าไม่ได้มีการศึกษามาก่อน จะไม่มีการรู้เลยว่า ต้องอาศัยจักขุปสาท เพราะเรามาศึกษา มันเรื่องยาว แต่เวลาที่สภาพธรรมปรากฏเกิดขึ้น มันต้องสั้น และเล็กน้อยซึ่งไปสู่กันได้เลย

    เพราะฉะนั้น ขณะนั้นที่มีการรู้รอบ เรียกว่ารู้รอบในลักษณะของธาตุรู้ เพราะว่ามันไม่มีอื่นอีกแล้วนอกจากนี้ รู้รอบในลักษณะของรูปที่ปรากฏเป็นอารมณ์ว่า รูปนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ลักษณะนี้คือ ญาตปริญญา ความรู้รอบในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจิรง ซึ่งต้องเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ถ้าก่อนที่นามรูปปริจเฉทญาณจะเกิด จะเป็นปริญญาอะไร เพราะกำลังเริ่มอบรมจากความไม่รู้เลย เป็นเกิดนิดหนึ่งสติปัฏฐาน แล้วก็ไม่ทันที่จะรู้ในลักษณะนั้นต้องศึกษา อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ก็คือพร้อมกันในขณะที่สติปัฏฐานเกิด ขณะนั้นก็ต้องมีศีลยิ่งกว่าศีลอื่น เพราะว่าศีลอื่น แค่วิรัติ แต่มีความเป็นเรา แต่ขณะนั้น ศีลวิสุทธิ จิตวิสุทธิ จนกว่าจะถึง

    ทิฏฐิวิสุทธิ ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณ มันก็ต้องเกี่ยวพันกันทั้งวิสุทธิ ๗ วิปัสสนาญาณ แล้วก็ปริญญาด้วย ถ้าไม่ใช่วิปัสสนาญาณ จะไปรู้รอบในความเป็นธาตุนั้นได้อย่างไร เพราะมันปรากฏโดยความเป็นธาตุนั้น อย่างนามธาตุจะไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่มีขอบเขต แต่ขณะนี้ขอบเขตของเขาคือเห็น ขอบเขตของเขาคือได้ยิน แต่ถ้าเป็นธาตุรู้เท่านั้น จะไม่มีอะไรเลย โลกอย่างที่เป็นอย่างนี้ ก็ไม่ปรากฏ นอกจากลักษณะซึ่งเป็นธาตุรู้


    หมายเลข 9382
    21 ส.ค. 2567