สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๙๐
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๙๐
คุณศุกล ทีนี้ความสมบูรณ์ของปัญญาที่รู้ลักษณะโดยการระลึกจากสติปัฏฐาน ก็เป็นเหตุให้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ หมายความว่า เวลาที่สติปัฏฐานเกิดจะไม่มีคำ แต่ทุกคนจะอดคิดไม่ได้ เพราะเคยคิดมาก่อนว่า นี่นาม นี่รูป ต้องคิด เพราะเคยแต่ความคิด มีปัจจัยของคิดที่จะเกิด คิดต้องเกิดแน่ๆ เพราะฉะนั้น ผู้นั้นก็มีปัญญารู้ความต่างของขณะที่ตัวสติปัฏฐาน กำลังระลึก มีลักษณะปรากฏกับความคิดซึ่งติดตามมาว่า ที่คิดเป็นเรื่อง ไม่ใช่ลักษณะที่กำลังปรากฏ
คุณศุกล ต้องหลังจาก
ท่านอาจารย์ พร้อมๆ กัน ติดต่อกันก็ได้ เพราะว่าเป็นปกติ อย่างคุณศุกลเวลานี้ แข็งปรากฏก็ปรากฏตามปกติ แต่เวลาสติปัฏฐานเกิด ก็รู้แข็งนั่นแหละ ไม่มีการแยกว่า กายวิญญาณรู้ แล้วก็มาสติปัฏฐานเกิดทางมโนทวารต่อ แล้วมารู้ ไม่มีการแยกเลย เพราะว่าสติเกิด เมื่อสติเกิดก็รู้ในลักษณะนั้น ที่จะใช้ตามปริยัติก็คือกายวิญญาณรู้ก่อน แล้วลักษณะสติระลึก ไม่ได้ระลึกลักษณะของจิตที่รู้ ซึ่งเป็นกายวิญญาณ แต่ระลึกลักษณะของรูปที่แข็ง
เพราะฉะนั้น ลักษณะของกายวิญญาณจะไม่เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานในขณะที่ระลึกลักษณะของแข็ง ขณะนั้น ชั่วขณะ แล้วต่อจากนั้นใครจะห้ามความคิดได้ เพราะว่าทุกคนจะคิดว่า นามธรรม เรียกชื่อต่อไปเลย ทั้งๆ ที่กำลังมีธาตุรู้ กับรูปธรรมคือแข็ง ก็ใส่ชื่อเข้ามาเสร็จสรรพ เพราะฉะนั้น คนนั้นก็มีปัญญาที่จะรู้ความต่างว่า ขณะที่เป็นสติปัฏฐานมีลักษณะปรมัตถ์ แต่ขณะที่คิด ไม่ใช่แล้ว
เพราะฉะนั้น มันเร็วแค่ไหนที่คนนั้นก็สามารถจะรู้ได้ว่า ลักษณะของสติปัฏฐาน คืออย่างนี้ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นมรรคกี่องค์ สัมมาทิฏฐิต้องมี แต่น้อยจนกระทั่งไม่สามารถจะรู้ลักษณะของแข็งซึ่งเกิดดับ และเป็นเพียงแข็ง อย่างอื่นไม่มีตรงนั้น เพราะว่าเพียงแต่เริ่มเท่านั้นเอง เหมือนกับแตะนิดหนึ่ง แล้วต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องเป็นราว เป็นตัวเป็นตนที่ยังมีมากที่คิดเรื่องนั้นต่อไป แต่ผู้นั้นเริ่มรู้ นี่คือหนทางเดียว ถ้าไม่มีการระลึกลักษณะที่เป็นปรมัตถ์ จะไม่รู้เลยว่า ลักษณะนั้นเป็นเพียงอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น คนนั้นก็ต้องรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันมีลักษณะ แล้วแต่ว่าสติปัฏฐานจะเกิดหรือไม่เกิด จะระลึกหรือไม่ระลึก จะระลึกอะไร ก็แล้วแต่สติปัฏฐาน อันนี้จะค่อยเป็นหนทางที่เขาถามหากันนักว่า หนทางลัดมีไหม หนทางอื่นมีไหม ที่เขาพยายามจะถึงเร็วๆ แต่หนทางอื่นก็ไม่มี แล้วหนทางนี้มันจะลัดยิ่งกว่าหนทางอื่นไหม คือว่าไม่ต้องไปเสียเวลาทำอย่างอื่น ที่มันผิด ๑๐ ปี ๒๐ ปี ไปนั่งทำปริญญา หรือไปนั่งท่องอะไรต่ออะไร แต่ว่าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งมันต้องกินเวลานานมาก คนนั้นก็รู้ แต่ความเห็นถูกจะละความต้องการ เพราะรู้ว่า ไม่ใช่เรื่องเร็ว แล้วมันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย แล้วเป็นเรื่องละ พอโลภะเกิดแทรก รู้ทันที จะผิดอีกแล้ว สีลัพตตปรามาส นี่คือตรงนี้ แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด เพราะว่ายิ่งปัญญาละเอียดขึ้น สีลัพพตก็จะละเอียดตามได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีวิปัสสนูปกิเลส ในขั้นของอุทยัพพยญาณ ความละเอียดขึ้นของความเป็นตัวตนต้องปรากฏเพื่อที่จะดับ เพราะว่าเราเคยได้ยินแต่ชื่อ แล้วตัวตนของเรา เราก็เห็นแบบสักกายทิฏฐิทำให้เกิดอะไรต่ออะไร ที่เป็นมานะบ้าง หรือว่าข้อประพฤติปฏิบัติที่สุดโต่ง ที่อะไรๆ ก็แล้วแต่ ที่มันทำให้ไปด้วยความเป็นตัวตน แต่ว่าเวลาที่สภาพธรรมปรากฏแล้วเยื่อใย เยื่อใยในอะไรบ้าง ในรูป แม้ร้อน ไม่มีอะไรปรากฏเลยทั้งสิ้น นอกจากร้อนปรากฏ ก็ยังเป็นเรา นี่คือเยื่อใยของรูปเป็นตน
คุณศุกล ที่รู้อย่างนี้ใช่ไหมครับ จึงต้องใช้คำว่าปริญญา ญาตปริญญา
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ถ้าไม่ใช่นามรูปปริจเฉทญาณ จะเป็นญาตปริญญาไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่คิด เป็นวิปัสสนาญาณที่ประจักษ์ การประจักษ์นั้นคือญาตปริญญา ตัวนามรูปปริจเฉทญาณ ตัวปัญญาอันนั้นแหละที่ประจักษ์นั้นเป็นญาตปริญญา เพราะเป็นการรู้ลักษณะแท้จริงของสภาพธรรมนั้น รอบรู้ในความเป็นธาตุนั้นๆ ในสภาพนั้นๆ