สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๙๒


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๙๒


    คุณศุก ความเห็นผิดต่างๆ ทีมีมาแต่ต้น เริ่มคลายตั้งแต่ตอนที่เป็นญาตปริญญา แล้วใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ก็ลองคิดดู สิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่ เคยประจักษ์กับเริ่มประจักษ์

    คุณศุกล รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นการเริ่มต้นที่ถูกทาง

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งแล้ว ไม่ใช่ปัญญาระดับจินตาญาณ สุตามยญาณ หรือว่าระดับของสติปัฏฐานที่เพิ่งเริ่มที่จะเจริญ แต่ต้องถึงระดับซึ่งสามารถประจักษ์แจ้งโดยความเป็นอนัตตา เลือกไม่ได้ว่า จะเกิดเมื่อไร เลือกไม่ได้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมอย่างนี้ แต่แทงตลอดคือปรากฏทางมโนทวาร แต่ต้องมีเหตุ อยู่ดีๆ รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความรู้ที่ค่อยๆ สะสม ผู้นั้นจะรู้ได้เลยสามารถประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมได้ แต่เพียงขั้นของญาตปริญญา หรือว่านามรูปปริจเฉทญาณ เพราะว่าแม้สภาพธรรมเกิดดับก็จริง แต่การที่จะคลายความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ไม่อบรมต่อไป ก็ไม่มีการที่จะประจักษ์การเกิดดับได้ เพราะว่าแม้สภาพธรรมที่ปรากฏกับนามรูปปริจเฉทญาณเกิดแล้วกับ แต่ปัญญาไม่ถึงการที่จะน้อมไปสู่การที่จะรู้ลักษณะที่เกิดแล้วดับ เพราะขณะนั้นรู้แต่เพียงว่า เป็นธาตุ เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมเท่านั้น ทั้งๆ ที่สภาพธรรมนั้นต่างกัน แล้วก็เกิดด้วย ดับด้วย แต่ปัญญาไม่ถึงความสมบูรณ์ ผู้นั้นจะรู้เลย ถ้ายังไม่รู้ทั่วในชีวิตประจำวันจริงๆ จะไม่มีการคลาย อย่างทางตา จะไม่มีการคลายเลยว่า แม้ขณะนี้ก็เริ่มที่จะรู้ว่า รูปารมณ์ก็คือรูปารมณ์จริงๆ และความคิดนึก ความทรงจำเรื่องสัตว์บุคคลในขณะที่เห็นก็เป็นการคิดนึกจากการที่มีรูปร่างสัณฐานเป็นปัจจัย แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้อย่างนี้ แต่ว่าเป็นปัญญาที่รู้ความต่างจริงๆ

    เพราะฉะนั้น กว่าจะคลายว่า รูปารมณ์ก็คือเพียงสิ่งที่ปรากฏ จริงหรือเปล่าคำนี้ จริง แค่ไหน เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ คำพูดของคนที่รู้กับคำพูดของคนที่ไม่ประจักษ์ พูดอย่างเดียวกันหมดเลย แต่ว่าปัญญาต่างกัน และปัญญาที่จะรู้เป็นเพียงรู้สิ่งที่ปรากฏมาจากไหน ก็ต้องมาจากการประจักษ์

    เพราะฉะนั้น ระหว่างที่เป็นวิปัสสนาญาณ ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมใด ไม่สงสัยในความเป็นนามธรรม และรูปธรรมของสภาพธรรมนั้น แต่ไม่พอ แค่นั้นไม่พอ เพราะมันน้อยไม่กี่อย่าง เท่าที่มี เพราะวิปัสสนาญาณประจักษ์ ขณะนั้นจะไม่มีการนับว่ากี่นาที มากหรือน้อยเลย แต่ลักษณะของสภาพธรรมเป็นอย่างไรก็ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ไม่มีการสงสัยในเรื่องของมรรควิถี เมื่อไรก็ได้ ในครัวก็ได้ กลางถนนหนทางก็ได้ เพียงแค่กี่ขณะจิตที่เกิด เพราะปัญญาถึงความสมบูรณ์ จึงสามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของไตรลักษณ์แล้วก็ถึงมรรควิถีได้ เป็นเรื่องของอนัตตาทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น เวลาที่พูดถึงญาตปริญญา คนนั้นก็รู้ว่าหมายความถึงอะไร ญาณไหน เพราะอะไร แต่จะไม่ใช่ตอนที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วไปทำปริญญา มันทำไม่ได้

    คุณศุกล คือมันเป็นความที่ได้ยินได้ฟัง แต่ว่าไม่ได้ติดใจอะไร ก็อยากจะให้เกิดความเข้าใจของตัวเอง เพราะว่าเคยฟังท่านอาจารย์มาตั้งแต่ต้น แล้วท่านอาจารย์ก็ให้ความสำคัญในเรื่องของความรู้ว่า มันต้องเป็นไปตามลำดับ บังเอิญมีคำว่า ญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหานปริญญา เอามาเข้ามาแทรก เพื่อให้เกิดความชัดเจนอะไรหรือเปล่า มีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่า อันนี้ตรงนี้เป็นความคิด

    ท่านอาจารย์ มันคืออะไรกันแน่

    คุณศุกล นี้แหละครับ ตรงนี้ที่ผมเรียนถามท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าต้องเป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าไม่ใช่วิปัสสนาญาณจะเป็นปริญญา ไม่ได้

    คุณศุกล แต่เรื่องวิปัสสนาญาณไม่สงสัย เพราะว่าต้องเป็นความรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คุณศุกลจะสงสัย แล้วมันมาอย่างไรระหว่างญาตปริญญา กับนามรูปปริจเฉทญาณ เพราะว่าเวลาที่สติปัฏฐานเกิดหลังจากนั้น ญาตปริญญาจนกว่าจะถึงวิปัสสนาญาณต่อไป ปัจจยปริคคหญาณ เพราะว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ เหมือนคนที่รู้แล้วจะกลับไปไม่รู้ ไปตั้งต้นใหม่โดยสติปัฏฐานก็ค่อยๆ เกิดหรืออะไร ไม่ได้ คนที่สอบผ่านไปแล้ว เขาจะต้องไปนั่งเรียนอะไรกันอีก แล้วปริญญาเขาก็มีหลายขั้น

    เพราะฉะนั้น ถึงได้ถามว่า เวลาที่สติปัฏฐานเกิดหลังจากที่นามรูปปริจเฉทญาณเกิดแล้ว ความรู้เท่ากันหรือเปล่า ความรู้ที่ไม่เท่านั้นคือ ญาตปริญญา ที่นามรูปปริจเฉทญาณประจักษ์ จึงเป็นญาตปริญญา และการที่ไม่ลืมปัญญาที่ได้ประจักษ์แล้ว แต่จะต้องน้อมตามที่ได้ประจักษ์ต่อไปอีก ที่จะต้องรู้ว่า เวลาแท้จริงๆ มันเป็นอย่างนั้น เหมือนอย่างที่ได้ประจักษ์ กว่าจะชินกับลักษณะของโลกปรมัตถ์ ซึ่งต่างกับโลกของบัญญัติ


    หมายเลข 9385
    21 ส.ค. 2567