สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๙๓
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๙๓
ท่านอาจารย์ ปัญญาเขามีหน้าที่อย่างเดียว คือ รู้ตรงตามความเป็นจริง รู้ถูกต้องตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น พอพูดถึงญาตปริญญา เรารู้เลยว่า หมายความถึงตอนไหน อย่างปัจจัยอย่างนี้ เมื่อสภาพธรรมเกิด ขณะนั้นจะรู้เลยว่า ไม่มีใครสร้าง เมื่อประจักษ์การเกิดขึ้น แล้วสภาพธรรมก็เกิด อยู่ที่ว่าน้อมจิตไปที่ไหน สำหรับนามรูปปริจเฉทญาณก็น้อมไปเพียงแค่ความต่างของธาตุที่เป็นลักษณะที่ต่างกันของนามธรรม และรูปธรรมโดยสิ้นเชิง แต่พอถึงเมื่อน้อมไปถึงการเกิดขึ้น การเกิดขึ้นของสภาพธรรม ขณะนั้นก็ ปัจจยปริคคหญาณ ไม่ต้องมีชื่อเลย แล้วก็เวลาที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรม ไม่มีคำในระหว่างที่ตรัสรู้ สภาพธรรมปรากฏกับบุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ลองเทียบดูก็แล้วกัน ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวก แล้วก็มาถึงมหาสาวก แล้วมาถึงสาวกที่ไม่มีชื่อ แล้วมาถึงผู้ที่อยู่ในยุคนี้ ที่สามารถอย่างมากที่สุด เขาคือว่าตามกำลังที่เขาสะสมมา ที่เขาจะสามารถจะรู้อะไรได้แค่ไหนอย่างไร แต่เทียบไม่เท่าท่านเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น ก็สามารถจะเข้าใจได้ ปัญญาต้องมีหลายระดับ ต่างกัน การจะรู้เร็ว รู้ช้า รู้มาก รู้น้อย จะถึง ๓ ญาณ ทันทีต่อกันเลยก็ได้ เพราะว่าตามกำลังของปัญญา หรือจะทีละอย่างก็ได้ ก็แล้วแต่บุคคล แต่ว่าท่านแสดงความต่างของ ๓ ญาณนี้ว่า เมื่อประจักษ์การเกิด ขณะนั้นจะไม่รู้หรือว่า สิ่งนั้นเกิดโดยที่ว่าไม่มีใครสร้าง เมื่อไม่มีใครสร้างก็ตรงกับต้องมีปัจจัย อย่างขณะที่กำลังรู้รูปหนึ่งรูปใด จะไม่รู้หรือว่า จิตนั้นกำลังมีรูปนั้น ขาดรูปนั้นไม่ได้ แต่ไม่ต้องออกมาเป็นคำพูด ไม่ต้องออกมาว่า เป็นอารัมณปัจจัย ไม่ต้องออกมาว่า เป็นมรรคปัจจัย ไม่ต้องออกมาเลย
เพราะฉะนั้น เวลาที่ทรงแสดงธรรม ทั้งหมดออกมาหมด จากการที่ตรัสรู้ยิ่งกว่าบุคคลใดทั้งสิ้น พระปัญญาที่สะสมมา ทุกคำที่ออกมาสามารถที่จะส่องไปถึงลักษณะของสภาพธรรมโดยละเอียด โดยประการทั้งปวงที่ไม่ให้คนเข้าใจผิด และถ้าไม่แสดงโดยละเอียด ก็ไม่มีปัจจัยเพียงพอที่บุคคลนั้นสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะคลายความเป็นตัวตนได้ แต่เมื่อเขาอบรมความรู้มา อายตนะ ไม่ใช่คำ ก็จากไม่มีเลย ไม่มีเลย ใครจะรู้ว่า ขณะนั้น ชื่อว่า ภวังค์
เพราะฉะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านรู้จริงๆ ท่านเป็นพระพุทธ ที่ว่าไม่ได้ยินได้ฟังใครเลย แต่ท่านไม่มีคำ ท่านรู้ว่าเป็นลักษณะอย่างนั้นๆ แต่คำอะไรที่จะใช้สำหรับคำนั้นที่จะต่างกับคำอื่น อย่างภวังค์กับวิถีจิต แต่จากไม่มี แล้วมี วิถีจิตหรือเปล่า ที่สิ่งนั้นปรากฏได้จากไม่มี แล้วมี ต้องเป็นอายตนะ จะไม่เป็นอายตนะได้อย่างไร มันต้องมีทางที่สิ่งนั้นจะปรากฏ จากไม่มีอะไรปรากฏเลย แล้วมี แล้วหามีไม่ การเกิดแล้วดับ แต่การที่จะมีแต่ละอย่าง จะเห็นความน่าอัศจรรย์จริงๆ ว่า ถ้าไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรม เพียงรู้แต่ชื่อ มันไม่น่าอัศจรรย์เลย แต่ความเป็นนามธาตุ ดูสิคะ ธาตุอะไร ใครก็คับไม่ได้ มันมี มันต้องรู้ มันต้องเกิดขึ้นมา แล้วมันก็สามารถที่จะรู้อะไรๆ ได้ ความต่างของทางปัญจทวารกับมโนทวาร มันก็ต่างกันอยู่แล้ว แล้วทางปัญจทวาร ปกติธรรมดาที่ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ทางปัญจทวารไม่ให้โอกาสมโนทวารปรากฏเลย สืบต่อกันหมดเลย กี่วิถีที่เห็นทางตา ยังเสียงอีกที่แทรกเข้ามา แต่ขณะนั้นจะมีมโนทวารแทรกคั่นอยู่ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น มโนทวารจึงสามารถรู้ทุกอย่างได้ แล้วทางปัญจทวารจะเล็กน้อยมากจนมันไม่ปรากฏ ปรากฏแต่รูปที่มันปรากฏ แต่ตัวที่เป็นทวารอย่างที่ปรากฏอย่างนี้จะไม่ปรากฏเลย
เพราะฉะนั้น โลกต่างกันเลย โลกของปรมัตถ์กับโลกของบัญญัติ มันจะไม่มีลักษณะที่เหมือนกันเลย โลกของบัญญัติมันรวมกันหมดเลยทั้งเรื่องราวทั้งเห็นทั้งได้ยิน แต่โลกมันมืดสนิท นอกจากสิ่งที่เป็นรูปที่เป็นรูปารมณ์เท่านั้นที่จะปรากฏได้อย่างสั้น และน้อยมาก เพราะว่ารูปอื่นก็มีปรากฏ แข็งมันก็ปรากฏได้ แล้วก็ต้องมีทวาร ถ้าไม่มีทวาร ปรากฏได้อย่างไร ในเมื่อเมื่อกี้นี้ไม่มี แล้วมีขึ้น มันก็ต้องเข้าใจความหมายของอายตนะ เข้าใจความหมายของทวาร ก็ตรงตามที่ทรงแสดงทุกอย่าง ลักษณะของธาตุ ลักษณะของขันธ์ ขันธ์คือเมื่อประจักษ์การเกิดดับ ถ้าไม่ประจักษ์การเกิดดับ มันมี แต่ไม่ใช่ในลักษณะที่ว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่ลักษณะนั้นก็เป็นรูปอย่างหนึ่ง อย่างหนึ่งของเขาจะวิจิตรมากเลย เพราะว่าแต่ละรูปต่างกันหลากหลาย แม้แต่ในขณะนี้จะไม่ซ้ำกัน เพราะว่าปัจจัยที่จะให้เกิดของเขาแต่ละอย่างก็เฉพาะอย่าง เฉพาะอย่าง อย่างเสียง ถ้าเสียงนี้ดับ จะให้เสียงอันนี้มีปัจจัยที่ให้เกิดอีก ให้มันเหมือนเก่าเลย มันเป็นไปไม่ได้ อาจจะแห้งไป อาจจะอะไรไปก็ได้ มันก็เป็นเรื่องสภาพธรรมที่ใหม่ทุกขณะ เพราะว่าเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ
คุณศุกล แม้จะเป็นปรากฏทางทวารเดียวกันก็เหมือนกันก็ต้องเป็นรูปใหม่อีกเหมือนกัน ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เก่าแน่ เพราะอันเก่ามันดับหมดแล้ว จะกลับมาได้อย่างไร