สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๙๔


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๙๔


    คุณศุกล ทีนี้มีพยัญชนะที่บอกว่า คำว่า ปิดบังๆ คือมันใช้คำที่ไม่มีอะไรจะสะดวกในการที่จะเป็นสื่อ แต่ว่าความหมายที่มันลึกซึ้ง คำว่า ปิดบัง แต่ดูเหมือนว่ามันไม่มีอะไรมากมาย กับเหมือนว่าเพิกถอน หรือ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ มันเป็นความต่าง อย่างทางปัญจทวารกับมโนทวาร มันเป็นความต่างของ ๒ ทวาร ทั้งๆ ที่มันรู้อารมณ์เดียวกัน สืบต่อกัน

    คุณศุกล บอกว่าปิดบัง ก็ดูเหมือนว่า

    ท่านอาจารย์ ถ้ามโนทวารกำลังปรากฏ ตลอดที่เป็นวิปัสสนาญาณ และเพียงรูปปรากฏนิดเดียว อันนั้นปิดบังทางนี้ไหม ทางจักขุทวารที่มันสืบต่ออย่างรวดเร็ว ว่ามันยาว แต่อันนั้นมันสั้น มันเล็กน้อย

    คุณศุกล ท่านอาจารย์ บอกว่า โลกมืด มืดๆ ๆ

    ท่านอาจารย์ มืดแค่ไหน ลองเปรียบเทียบ ถ้าหลับตายังเห็นแสงสว่างสลัวๆ ไม่เห็นน่ากลัวเลย

    คุณศุกล ยังเห็นความมืดอยู่

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่น่าตกใจ ก็มีความอย่างอื่นอยู่ทั้งตัว นี่คือเวลาที่เราหลับตา ทางมโนทวารมันก็ยังมีอะไรๆ ปรากฏกับความมืดอันนั้น เพราะว่าสิ่งเดียวที่จะปรากฏว่า ไม่มืด คือ แสงสว่าง ทวารอื่นมืดสนิท มโนทวารจึงปรากฏ เมื่อสิ่งนั้นปรากฏอย่างนั้นก็คือว่า ลักษณะของมโนทวารเขาปรากฏตลอด แล้วทางปัญจทวารจะแทรกคั่นสั้น สั้น สั้น เท่านี้เอง ถ้าตราบใดที่มโนทวารยังไม่ปรากฏ คนก็คิดว่า เวลานี้มันชัดเจนมาก กำลังมีรูปเป็นอารมณ์ เสียงก็ชัด ดึกๆ ไม่มีอะไรรบกวน มีแต่เสียงอย่างเดียว แต่ตัวเขา ปัญญาของเขายังไม่ถึงระดับที่จะรู้ เพราะความจริงมันเป็นความจริงแน่นอน มันจะไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย อย่างสภาพธรรมปรากฏทีละอย่างก็จริง แล้วเดี๋ยวนี้มันทีละอย่างหรือเปล่า ต่อกันเร็ว แต่ความจริงคือทีละอย่าง ถ้าทีละอย่างมันจะปรากฏรวมกันอย่างนี้ไม่ได้เลย แล้วทีละอย่างคือทีละอย่างจริงๆ ลองคิดดู แล้วทางมโนทวารด้วยที่รับได้หมดทุกอารมณ์

    คุณศุกล ท่านอาจารย์ให้คำชัดเจนอีกนิดหนึ่ง คำว่า “ปรากฏทีละอย่าง” หมายความว่าปรากฏทีละทวาร

    ท่านอาจารย์ มโนทวารรับต่อทุกทวาร ลักษณะของมโนทวารตลอดที่เป็นวิปัสสนาญาณ เพียงแต่รูปที่ปรากฏทางปัญจทวาร มันปรากฏทางมโนทวารที่กำลังเป็นมโนทวารตลอดที่สั้นมาก เพราะฉะนั้น ลักษณะที่ปรากฏทางปัญจทวารเหมือนไม่ปรากฏเลย มีแต่รูปปรากฏ เพราะว่านามรูปปริจเฉทญาณต้องรู้ทั้งนามธรรม และรูปธรรม มันก็เหมือนกับพลิกโลกออกมาอีกด้านหนึ่ง จากโลกที่มันมีเรา มีอะไรๆ ไม่มีอะไรเลยนอกจากธาตุรู้ แล้วทางมโนทวารด้วย

    คุณศุกล คงเป็นแบบที่ท่านมีคำพูดมาว่า อุปมาเหมือนเปิดของที่คว่ำ หงายของที่อะไร

    ท่านอาจารย์ ในพระสูตรใช้คำที่ไม่พูดถึงวิปัสสนาญาณเลย ใช้คำเดียวว่า รู้ชัด ชัดของพระองค์ก็คือวิปัสสนาญาณทั้งหมด แต่ไม่ได้มาบอกว่า นี่ๆ ๆ ๆ นั่นๆ ๆ ๆ คือสามารถที่จะรู้นิพพานได้เลย ย่อสุด คนก็เลยคิดว่า มันง่ายอย่างนั้น มันเร็วอย่างนั้น แล้วมันก็จะต้องเป็นปัญญา ถ้าไม่ใช่ปัญญา ไม่มีทางเลย อย่าไปฝันว่า เราทั้งตัวกำลังเป็นเราที่กำลังอยากจะรู้ กำลังทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะรู้ได้ ไม่มีทาง โดยเฉพาะตรุณวิปัสสนา กับพลววิปัสสนา แค่ชื่อก็ห่างกันมาก แต่ไม่ใช่ว่า ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ เป็นวิปัสสนาญาณจริง แต่ดูกำลังของเขา เมื่อยังไม่ทั่วในชีวิตประจำวันจะไม่มีทางเป็นพลววิปัสสนา ถ้าไม่ทั่วจริงๆ ในชีวิตประจำวัน

    เพราะฉะนั้น ถึงต้องเป็นปกติ ตรงตามที่ทรงแสดงไว้ ถ้าไม่เป็นปกติ หมายความว่าอะไรกั้น โลภะไม่ต้องการรู้สิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน ต้องการจะไปรู้อย่างอื่น เฉพาะอย่างอื่น แล้วจะมาละสิ่งที่เคยเป็นเราตลอดเวลาในชีวิตประจำวันได้อย่างไร แล้วเป็นหนทางที่จะรู้หรือเปล่า ถ้าเป็นหนทางที่จะรู้ ก็รู้ว่า สิ่งนี้เมื่อไรก็เมื่อนั้น ขณะไหนก็ขณะนั้น แล้วยังต้องไม่ติด หนทางนี้เป็นหนทางรู้แล้วละโดยตลอด ถ้าติดว่า ถ้าอย่างนี้จะเป็นวิปัสสนาญาณ เพราะว่าปัจจัยพร้อมที่จะให้เป็นอย่างนี้ สะสมมาที่จะเป็นอย่างนี้ อยากจะให้เกิดอีก ก็คือเป็นอย่างนี้ นั่นก็คือหลงอีกแล้ว ติดอีกแล้ว สมุทัยกั้นอีกแล้ว

    เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงต้องละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น คือต้องละ ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม ต้องมีศีล ต้องมีอะไรๆ มีโลภะหรือเปล่า ถ้ามี มันก็ยังมีสมุทัยอยู่ มันก็กั้นอยู่แล้ว แต่ว่าศีลที่ประสงค์ในที่นี้ พร้อมทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือ อินทรียสังวรศีล ยิ่งกว่าศีลใดๆ หมดทั้งสิ้น เพราะว่าศีลอื่นโลภะเกิด ยังไม่กระทำทุจริต วิรัติได้ แต่ไม่รู้ว่าโลภะขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่ศีลนี้เพื่อที่จะรู้ความไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรมทั่วทั้งหมด แม้แต่คำกล่าวที่ว่า สมาธิเป็นบาทของปัญญา ไม่ใช่สมาธิอื่น ไม่ต้องไปนั่งทำสมาธิ แล้วไม่รู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม แล้วจะไปเป็นบาทของการที่จะให้นามรูปปริจเฉทญาณเกิดรู้ก็ไม่ได้ ต้องเป็นสมาธิที่เกิดร่วมกับสัมมาสติ สัมมาทิฏฐิที่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์

    ลักษณะของพละ หรือลักษณะของอินทรีย์ ก็บอกอยู่แล้ว อย่างลักษณะของศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เขามีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเขามีกำลังขึ้น จนกระทั่งสามารถจะรู้ได้ทีละอย่าง ขณะนั้นก็แสดงอยู่แล้วว่า สมาธิก็เป็นบาทที่จะให้ปัญญาประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมนั้น ในขณะนั้นด้วย ทั้งสติ ทั้งสมาธิ เป็นพละ สติเป็นพละ คือ ไม่หวั่นไหว ระลึกลักษณะของสภาพธรรมได้หมด ถ้าหวั่นไหวเลือกเมื่อไรคือ อย่างไรก็ไม่เป็นพละไปได้ ยังมีความเป็นตัวตนอยู่ แล้วจากขณะที่วิปัสสนาญาณเกิด บางกาล จนกระทั่งถึงระลึกทางไหนก็คลายความเป็นเรา เพราะว่าเข้าใจถูกต้องจากการประจักษ์ว่า เป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละทางในชีวิตประจำวันจริงๆ

    นี่คือความห่าง และความต่างที่ทำไม ๓ ญาณนั้น แม้ว่าสัมมสนญาณ ประจักษ์การเกิดดับจริงๆ แต่ว่าอย่างเร็ว อย่างชนิดซึ่งไม่ใช่ประจักษ์แจ้งอย่างของอุทยัพพยญาณ เพราะว่าอะไรที่เราทำอย่างรวดเร็ว อย่างพลิกดูหนังสือ มันก็เร็วๆ ๆ ๆ ไป มันก็เกิดดับ แต่การที่เราที่ละอันๆ อย่างชัดเจนถูกต้อง ก็ต้องต่างกัน

    เพราะฉะนั้น สัมมสนญาณก็เป็นตรุณวิปัสสนา ยังไม่สามารถที่จะถึงการระลึกจนทั่ว และคลายเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่คลายเพิ่มขึ้น ที่จะถึงอุทยัพพยญาณ เป็นไปไม่ได้ และการคลาย คนนั้นก็ต้องรู้ด้วยตัวเอง อบรมอย่างไร เจริญอย่างไร ไม่ใช่ไม่รู้หนทางเลย อยู่ดีๆ ก็ถูกสอนมาว่า ให้ไปนั่ง แล้วจะประจักษ์การเกิดดับ เป็นไปได้อย่างไร ไม่มีการคลายในชีวิตประจำวันเลย เพราะว่าวิปัสสนาญาณเป็นอนัตตา บังคับได้ไหม จะให้สมบูรณ์เมื่อไร จะให้เกิดในขณะที่มีสภาพธรรมใดเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น แต่ละคนจะไม่เหมือนกันเลย


    หมายเลข 9387
    21 ส.ค. 2567