สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๙๕


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๙๕


    คุณศุกล ผมคิดว่าผู้ที่ฟังแล้ว ถ้ามีความเข้าใจ แล้วเวลาที่สติปัฏฐานเกิดจริงๆ ความเข้าใจ ผิดที่ว่า จะต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ แต่อย่าลืมความหวัง โลภะ เขาจะตามมาตลอดเลย ไม่ว่าญาณไหน เมื่อไรจะถึงอีกญาณหนึ่ง นี่มโนทวาร หรืออะไรอย่างนี้ เขาจะมาตลอด เพราะว่าเป็นเรื่องที่แสนโกฏิกัปป์มาแล้วที่เรามีอวิชชากับความเห็นที่เป็นสักกายทิฏฐิ แล้วอบรมอย่างไร แสนโกฏิกัปป์ รากที่มันลึกที่สุดเลย คือ สักกายทิฏฐิ อนุสัย นี่คือการดับอนุสัย ไม่ใช่ระงับแบบสมถภาวนา วิขัมภนะ แต่อนุสัย เราคิดดูจะดับเมื่อถึงโลกุตตรจิต มรรคจิตเท่านั้นที่จะดับได้ แสดงว่ามันแค่ไหนที่สะสมจนกระทั่งติดอยู่กับจิตตลอดเวลา ไม่ว่าจิตนั้นจะเกิดขึ้นเป็นอะไร เพียงแต่ว่าอนุสัยไม่เกิด เพราะเกิดเป็นปริยุฏฐานะ เจตสิกทั้งหลายทำงาน สามารถที่จะเกิดขึ้นได้จากเชื้อที่มีอยู่

    เพราะฉะนั้น เรื่องดับอนุสัยเป็นเรื่องที่ดับได้แน่นอน แต่ต้องละเอียดแค่ไหนถึงจะถึงการดับอนุสัยได้ ก็อบรม เพราะว่าผู้ที่อบรมแล้วมี พระอริยทั้งหลายในพระไตรปิฎก แสดงอดีตชาติของท่านทั้งนั้นเลย ที่ท่านอบรมกันมาไม่ใช่ภายใน ๑ กัป ไม่มีใครภายใน๑ กัป แล้วกัปนานเท่าไร ไม่ต้องคิดเลย หนทางที่ดีที่สุดไม่คิดไม่หวัง นั่นคือกถาที่ทำให้ละคลายความติดข้อง และให้เกิดวิริยะโดยที่ว่าไม่หวังผล วิริยะอย่างไรเขาก็เกิดอยู่แล้ว ทันทีที่สติปัฏฐานเกิด วิริยะมีแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรอีกเลย ถ้าทำคือตัวตนเข้ามาอีกแล้ว คือต้องรู้หมด ท่านบอกว่า เหมือนกับคนที่ประคองน้ำมันทูนศีรษะไป แล้วทางที่ไปรอบตัวคือหนามทั้งนั้น จะต้องมีความระแวดระวังขนาดไหนที่จะไม่ถูกหนามตำ คือความเห็นผิดต่างๆ โลภะที่จะทำให้เราเคลื่อนไปจากหนทางนี้

    เพราะฉะนั้น สัจจญาณสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีสัจจญาณ กิจจญาณเกิดไม่ได้เลย ท่านกำกับไว้หมดเลย ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จักสัจจญาณ แล้วก็จะไปอบรมเจริญอะไร แล้วสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ตามไปหมดเลย ในอริยสัจ ๔ ที่จะไม่ให้คลาดเคลื่อนไปได้

    คุณซีเข้าใจว่า อนัตตาคืออะไร

    ผู้ฟัง คือสภาพความไม่มีตัวตน

    ท่านอาจารย์ แล้วอะไรที่จะเป็นตัวตนได้

    ผู้ฟัง สิ่งที่มีจริง ก็ไม่มีอะไรเป็นตัวตน

    ท่านอาจารย์ มีคำตอบอย่างนั้น แล้วเข้าใจคำว่า “ธรรม” ว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นให้รู้ได้

    ท่านอาจารย์ ให้รู้ได้

    ผู้ฟัง คือสิ่งที่มีจริงปรากฏขึ้น จิตสามารถรู้สิ่งนั้นได้ตามความเป็นจริง แต่ว่าให้รู้ได้ หมายถึงว่าอาจจะไม่รู้สภาพธรรมที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจคำว่า “ธรรม” เข้าใจคำว่า “ธาตุ” นั่นก็คือไม่ใช่ตัวตนชัดเจน ไม่ต้องไปหาอะไรอีกเลย เพราะว่าธาตุหรือธรรมนั่นแหละเป็นอนัตตา เป็นของใคร ธาตุสักธาตุหนึ่ง ธาตุไฟเป็นของใคร โกรธเป็นของใคร

    ผู้ฟัง ไม่มีของใครเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจคำว่าธรรมกับธาตุ ก็เข้าใจความหมายของอนัตตา ไม่มีเจ้าของ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ลักษณะของธรรมก็มีแต่ละอย่าง แต่ละลักษณะ ก็แสดงความเป็นเอกลักษณ์ หรือว่า วิเสสลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งต่างๆ ๆ ๆ กันออกไป แต่ละประเภทไม่เหมือนกันเลย ลักษณะนั้นๆ ถ้าไม่เกิดขึ้น เราจะรู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เกิดจะรู้ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วใครทำให้เกิด

    ผู้ฟัง ไม่มีใคร

    ท่านอาจารย์ นี่คืออนัตตาใช่ไหม แล้วสิ่งนั้นดับหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ดับครับ แต่ยังไม่รู้

    ท่านอาจารย์ แล้วเป็นของใคร สิ่งที่เกิดแล้วดับเพราะเหตุปัจจัย ก็แสดงความเป็นอนัตตาอยู่แล้ว บังคับก็ไม่ได้ ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ อย่างเดี๋ยวนี้ที่เห็น ไม่ให้เห็นได้ไหม ไม่ได้ แล้วใครทำให้เห็นเกิดขึ้น ก็ไม่มีใครทำ นั่นคือลักษณะของธรรม อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ก็ไม่มี นั่นคือความหมายของอนัตตา

    ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน ก็หมายความว่าทุกอย่างไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้น นิพพานก็มี ไม่ได้เกิดขึ้น ไม่ได้ดับไป แต่นิพพานก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นธาตุหรือเป็นธรรมแต่ละอย่าง

    ผู้ฟัง ความจริงอย่างเช่นบอกว่า สภาพของแข็งเป็นอนัตตา นี่ก็พอเข้าใจได้ดี เพราะว่าบอกว่าความแข็งก็คือความแข็ง ไม่มีอย่างอื่นเลย นอกจากความแข็งอันนั้น

    ท่านอาจารย์ ลักษณะแข็งมีจริง

    ผู้ฟัง แต่ว่าอย่างนิพพานก็เช่นเดียวกัน คือ ไม่มีความเป็นตัวตนในลักษณะของความเป็นนิพพานนั้นเลย แต่พอถึงบัญญัติ บัญญัติไม่มีความเป็นตัวตน เพราะว่าแม้แต่ความมี ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ก็บัญญัติมันก็ไม่มี จะเอาตัวตนมาจากที่ไหน

    ผู้ฟัง บัญญัติเป็นอนัตตา แต่ไม่มีอนัตตลักษณะ ใช่ไหมครับ เพราะความที่เป็นอนัตตลักษณะต้องมีเพราะบัญญัติแม้แต่ลักษณะก็ไม่มี ความเป็นลักษณะนี้ไม่มีแน่นอน


    หมายเลข 9388
    21 ส.ค. 2567