สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๐๖


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๐๖


    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงแสดงหนทางไว้ ก็จะไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงว่า ขณะนี้ทุกอย่างที่มีเพราะเกิดแล้วก็ดับ ถ้าไม่เกิดสืบต่อ สิ่งนั้นก็จะไม่ปรากฏ แต่ถ้าปรากฏสืบต่อซ้ำๆ กัน ก็ปรากฏเหมือนเป็นสิ่งเดียว แต่ความจริงไม่ใช่สิ่งเดียวเลย เอามาย่อยออกทั้งนามธรรม และรูปธรรมละเอียดยิบเลย

    ผู้ฟัง คือการได้ยินกับการเห็น เข้าใจว่ามันคนละสิ่ง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นจิตคนละขณะ คนละประเภท อาศัยแต่ละทางด้วย ถ้าจิตเห็นเกิดที่ไหน เราก็ยังไม่รู้เลย เราว่ามีจิตเห็น ขณะนี้ที่เห็นเป็นจิต รูปเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็มีจิตที่เห็น และจิตเห็นต้องเกิดจึงเห็น ถ้าจิตเห็นไม่เกิด จะเห็นได้อย่างไร เพราะฉะนั้น จิตเห็นเกิดที่ไหน

    ผู้ฟัง จิตเห็นเกิดที่ตา

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ตรงไหน

    ผู้ฟัง ตรงกลางตา

    ท่านอาจารย์ แล้วจิตได้ยินเกิดที่ไหน

    ผู้ฟัง หู

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าคนเราต้องมีจิต ๑ ขณะ ทีละ ๑ ขณะ จะมี ๒ ขณะซ้อนกันไม่ได้

    ผู้ฟัง คืออาจารย์กำลังจะบอกว่า จิตจะเกิดขึ้นได้ครั้งหนึ่งแค่อย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ใช่ไหมคะ สิ่งที่ถูกรู้ภาษาบาลีใช้คำว่า “อารัมมณะ” แต่ภาษาไทยเราใช้คำว่า “อารมณ์” เป็นการคลาดเคลื่อนไม่ตรงความหมาย เวลาพูดภาษาไทย เราบอกว่าวันนี้อารมณ์ดี จิตใจสบายใช่ไหมคะ แต่ว่าภาษาบาลี อารมณ์หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ เพราะฉะนั้น คนไทยเอามาใช้ว่า “อารมณ์ดี” เมื่อจิตเห็นสิ่งที่ดีๆ ได้ยินเสียงดีๆ ได้กลิ่นดีๆ ลิ้มรสดีๆ สัมผัสดีๆ คิดนึกดีๆ ไม่มีเรื่องที่จะโกรธ ที่จะขุ่นเคืองใจ ก็บอกว่าขณะนั้นอารมณ์ดี แต่ความจริงอารมณ์ต้องหมายเฉพาะสิ่งที่ถูกจิตรู้ เสียงในป่าต้องเกิดแน่นอน ถ้ามีการกระทบกันของของแข็ง เช่น ต้นไม้ล้มกระทบแรงๆ มีเสียงเกิดขึ้น ขณะนั้นจิตได้ยินเสียงหรือเปล่า เสียงในป่า

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีเสียงในป่า ได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ แต่มีเสียงได้ ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง มีได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เสียงที่ไม่ได้ยิน ไม่มีใครได้ยิน ไม่ใช่อารมณ์ของจิต แต่เมื่อจิตได้ยินเสียงใด เสียงนั้นเป็นอารมณ์ของจิต หมายความว่าเป็นสิ่งที่ถูกจิตกำลังรู้

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ตอนนี้เข้าใจคำว่าอารมณ์ด้วย เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ ขณะนี้มีอารมณ์ไหมคะ

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นอารมณ์

    ผู้ฟัง ความรู้สึกของเราในตอนนี้

    ท่านอาจารย์ รู้สึกอย่างไร

    ผู้ฟัง รู้สึกยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ความไม่เข้าใจมีจริงไหมคะ

    ผู้ฟัง จริง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง นามธรรม

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เป็นจิตหรือเจตสิก

    ผู้ฟัง เจตสิก

    ท่านอาจารย์ แปลว่าไม่มีเราแล้ว เดี๋ยวนี้ มีแต่ธรรม คือ จิต เจตสิก รูป

    ผู้ฟัง ไม่มีเรา เวลาที่อาจารย์พูดว่าไม่มีเรา หมายความว่าอย่างไรคะ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา ก็บอกแล้วว่า เป็นจิต จิตจะเป็นเราได้อย่างไร จิตก็เป็นจิต เป็นธรรม เจตสิกก็เป็นเจตสิก

    ผู้ฟัง แต่จิตแต่ละคนไม่ใช่จิตดวงเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้น จิตเป็นจิต ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนอย่างไรก็ตาม จิตก็คือเป็นจิต ไม่ใช่เจตสิกด้วย

    ผู้ฟัง ใช่ แต่จิตแต่ละคนก็ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่เป็นประเภทเดียวกันหรือเปล่า อย่างจิตเห็น

    ผู้ฟัง ก็เป็นประเภทเดียวกัน แต่

    ท่านอาจารย์ ถ้าพูดถึงจิตเห็น เราไม่มีชื่อพิเศษเลยว่า คุณอมรา หรือคุณอมเรศ หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ไม่มี จิตเห็น เห็น นกเห็นไหมคะ นก

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ นกเห็นนะคะ เป็นจิตนะคะ เอารูปร่างนกออก เอารูปร่างคนออก เปลี่ยนเห็นให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม พูดถึงเห็น สภาพที่เห็นมี เห็นไม่ใช่รูปธรรม

    ผู้ฟัง เห็นไม่ใช่รูปธรรม

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นนามธรรมเกิดขึ้นเห็น เมื่อพูดถึงเห็น เราจะบอกว่า เป็นแมว เป็นนก เป็นอะไรได้ไหม เฉพาะเห็น ไม่เอารูปร่างเข้ามาเกี่ยว

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่เอารูปร่างเข้ามาเลย เฉพาะเห็นอย่างเดียว ไม่มีรูปร่างคน ไม่มีรูปร่างแมว ไม่มีรูปร่างนกเลย พูดถึงเฉพาะเห็น ตัวเห็นแท้ๆ เป็นสิ่งที่มีจริง เห็นเป็นคน หรือเป็นสัตว์ หรือว่าเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นนามธรรม คือ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ก็เป็นสภาพธรรมอย่าหนึ่งที่เห็น เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรา ทุกอย่างไม่ใช่เราหมดเลย เวลานี้เป็นธรรมหมดแล้ว เป็นจิต หรือว่าเจตสิก หรือรูป เท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง ใครที่เห็น

    ท่านอาจารย์ เราใส่ชื่อ เพราะเราติดยึดถือว่าเราเห็น แต่ลักษณะเห็น ถ้าเพียงตาบอดก็ไม่เห็นแล้ว เกิดไม่ได้แล้ว จิตชนิดนี้ไม่มีแล้วสำหรับคนนั้น

    ผู้ฟัง ถ้าบอกว่า ไม่มีเราแล้ว

    ท่านอาจารย์ ก็มีจิต เจตสิก รูป

    ผู้ฟัง แล้วจิตแต่ละดวงแยกกันอย่างไรว่า อันไหนเป็นจิตของใคร

    ท่านอาจารย์ เราพูดถึงจิตเท่านั้น ไม่มีเจ้าของ เพราะว่าเกิดแล้วดับ สิ่งที่เกิดแล้วดับเป็นของใคร แต่เราพูดว่า มีจริง แล้วไม่มีเจ้าของด้วย เพราะมีปัจจัยจึงเกิด เมื่อเกิดแล้วดับ

    เพราะฉะนั้น คำว่าธรรมตรงกับคำว่า ธาตุ หรือ ธา-ตุ เวลาพูดถึงธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ลักษณะที่แข็ง หรือลักษณะที่ร้อน เราไม่เคยยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเรา เพราะเป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่ง แต่ละชนิด ถูกต้องไหมคะ แต่เวลาที่ตัวตรงนี้ที่เรายึดถือ แข็ง ทำไมเราไม่ว่าเป็นธาตุ แข็งก็คือแข็ง อยู่ตรงไหนก็คือแข็ง อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงโน้น อยู่ตรงไหน ลักษณะที่แข็งเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นธรรม ไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร ไม่มีเรา

    ผู้ฟัง ไม่มีเรา ใช่ แต่มีจิต

    ท่านอาจารย์ มีเจตสิก มีรูป แล้วก็จิตหลากหลาย จิตเห็นเกิดขึ้นที่ไหน บนสวรรค์มีไหมคะ จิตเห็น ในน้ำมีไหม จิตเห็น ปลาเห็นหรือเปล่า นกเห็นหรือเปล่าในอากาศ เพราะฉะนั้น เห็นคือเห็นเท่านั้น นี่คือธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นไม่มีทางที่จะรู้เลยว่า เป็นธรรม เพราะว่าเห็นก็เป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไปตลอด ไม่เคยรู้ความจริงของแต่ละขณะในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดจนตายว่า สิ่งที่มีจริงๆ มี จริง แต่ไม่ใช่ของใคร เกิดขึ้นแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น เป็นธรรมทั้งหมด เราเริ่มเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรมจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ไม่มีเรา มีแต่ธรรม จิตเป็นธรรม เจตสิกเป็นธรรม เมื่อกี้บอกแล้วว่าไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร เมื่อมีปัจจัยก็เกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ทั้งจิต ทั้งเจตสิก ทั้งรูป ไม่เป็นของใครเลย บังคับบัญชาไม่ได้ มีปัจจัยก็เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วไม่ดับมีไหม ไม่มี เกิดแล้วต้องดับ แต่ดับเร็วมาก เร็วเกินกว่าที่จะคิด


    หมายเลข 9399
    20 ส.ค. 2567