สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๐๙


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๐๙


    ผู้ฟัง อย่างที่บอกว่านั่งสมาธิ ไม่ได้นั่งเพื่อที่จะหวังบรรลุมิติ หรือว่าได้เห็นพลังอะไรแปลกใหม่ คือไม่ได้หวังตรงนั้น

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่อยากนั่งจะนั่งไหม ถ้าไม่อยากแล้วจะนั่งทำไม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่อยากแล้วจะนั่งทำไม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นความจริง เป็นธรรมต้องตอบได้ ทุกอย่างที่เป็นจริงจะมีคำตอบเสมอ มีใครบังคับให้นั่งสมาธิหรือเปล่า มีพ่อแม่บังคับให้นั่งหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี เราทำเอง

    ผู้ฟัง ถ้านั่งแล้วทำ เราต้องการที่จะทำ แล้วคือเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือคะ

    ท่านอาจารย์ เรารู้หรือเปล่าว่า ขณะนั้นเป็นอะไร ถ้าไม่รู้แล้วเราทำ

    ผู้ฟัง ถ้ารู้ว่าเรากำลังนั่งสมาธิ แล้วเราทำ แล้วเรานั่งอยู่

    ท่านอาจารย์ ด้วยความต้องการ ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ด้วยความต้องการ

    ท่านอาจารย์ ด้วยความพอใจที่จะทำ จึงทำ ก็เป็นปัญญาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นปัญญาหรือเปล่า พอใจที่จะทำ

    ท่านอาจารย์ พอใจที่จะทำ เป็นปัญญาหรือเปล่า ต้องตรง ผู้ที่จะได้สาระจากพระธรรม ก็คือต้องเป็นผู้ตรง ตั้งแต่ต้นจนตลอด เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาแล้วต้องตอบ ตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง กำลังนึกอยู่ว่าเป็นปัญญาหรือเปล่า ปัญญาของอาจารย์ ในความหมายปัญญาของอาจารย์ คือการทำสิ่งที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ

    ผู้ฟัง คือได้คิดก่อนที่จะทำ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่

    ผู้ฟัง แล้วปัญญาของอาจารย์หมายความว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่ของใครอีกเหมือนกัน ทุกอย่างที่เป็นธรรมไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้น แต่หลงยึดถือว่าเป็นของเรา โลภะเกิดก็เป็นเรา ติดข้องต้องการ โทสะเกิดก็เป็นเรา แต่ความจริงเป็นสภาพธรรมที่ต้องเกิด บังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นปัญญาก็คือสภาพธรรมที่มีจริง เป็นความเห็นถูกตามความเป็นจริง ไม่ใช่ความเห็นผิด

    ผู้ฟัง ปัญญา คือ ความ

    ท่านอาจารย์ ความเห็นถูกตามความเป็นจริง ไม่ใช่ความเห็นผิดจากความจริง

    ผู้ฟัง การที่เราอยากนั่งสมาธิเป็นปัญญาไหม

    ท่านอาจารย์ ค่ะ

    ผู้ฟัง ถ้าบอกว่าเป็นล่ะคะ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจอะไรถูกต้องขณะนั้น เพราะปัญญาเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังมี ขณะนี้เป็นจิต เจตสิก เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ ถ้าเข้าใจถูกเป็นปัญญา ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง แล้วถ้าเข้าใจไม่ถูกล่ะคะ

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหมดเลย เห็นก็เป็นเราเห็น ได้ยินก็เป็นเราได้ยิน โกรธก็เป็นเราโกรธ ดีใจก็เป็นเราดีใจ ทุกอย่างที่เป็นธรรมทั้งหมดเอามาเป็นเราหมด ซึ่งความจริงไม่ถูกต้อง เพราะธรรมต้องเป็นธรรม ไม่ใช่ใคร เกิดแล้วก็ดับทั้งนั้นเลย

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าเราเห็นว่า การนั่งสมาธิเป็นปัญญา นั่นคือเรา

    ท่านอาจารย์ ถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นเรา ต้องผิด

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง แล้วถ้าเราบอกว่าเป็นปัญญา เพราะว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะเราไม่รู้ว่าปัญญาคืออะไร เราถึงไปเรียกว่าเป็นปัญญา เราบอกว่าเป็นปัญญา นั่นคือเราบอก แต่ไม่ใช่ปัญญาที่เห็นถูก

    ผู้ฟัง แล้วใคร คือ เป็นคนที่บอกว่า ปัญญา ที่เห็นถูกคือการถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องมีใครบอก ลักษณะของเห็นใครต้องบอก

    ผู้ฟัง ไม่ต้อง

    ท่านอาจารย์ ลักษณะของปัญญาก็ไม่มีใครต้องบอกเหมือนกัน เป็นความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรม

    ธรรมนี้เป็นประโยชน์มาก ถ้าเราพิจารณาแล้วมีความเห็นถูกเพิ่มขึ้น เป็นธัมมัง สรณัง คัจฉามิ มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ที่พึ่งที่นี้คือนำทางไปสู่ทุกอย่างที่ไม่ผิด


    หมายเลข 9402
    20 ส.ค. 2567